ดีมันนี่ (DeeMoney) บริษัทฟินเทคชั้นนำและแพลตฟอร์มด้านธุรกรรมข้ามพรมแดนสัญชาติไทยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและเชี่ยวชาญในการโอนเงินระหว่างประเทศเปิดตัวบริการใหม่ DeeMoney for Business เพื่อช่วยให้ลูกค้าธุรกิจและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) สามารถโอนเงินหรือชำระเงินไปยังสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร อินเดีย ฮ่องกง และอีก 25 ประเทศทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยีทางการเงินอันก้าวหน้าของดีมันนี่ช่วยให้ลูกค้าในภาคธุรกิจสามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้รวดเร็วขึ้น สะดวกขึ้น ในอัตราค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดเพียง 499 บาทต่อครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการชำระค่าสินค้า การโอนเงินให้กับคู่ค้าในต่างประเทศ หรือการจ่ายเงินเดือนไปยังพนักงานที่ต่างประเทศก็สามารถทำได้ผ่านแพลตฟอร์มของดีมันนี่
การเปิดให้บริการ DeeMoney for Business ในครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของดีมันนี่ที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มด้านธุรกรรมข้ามพรมแดนของไทยด้วยเทคโนโลยีระดับโลก และภายในปีนี้ ดีมันนี่มุ่งขยายความร่วมมือกับคู่ค้าปัจจุบันกว่า 40 บริษัททั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่าการโอนเงินเข้าและออกจากประเทศไทยจะเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยที่สุด
“เป็นครั้งแรกในไทยที่มีผู้ให้บริการธุรกรรมระหว่างประเทศเป็นทางเลือกให้ลูกค้านอกเหนือจากการทำธุรกรรมผ่านธนาคาร” อัศวิน พละพงศ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งดีมันนี่ กล่าว “ลูกค้าธุรกิจจะเป็นอิสระจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและค่าธรรมเนียมที่ถูกกำหนดโดยธนาคาร DeeMoney for Business มอบบริการด้านธุรกรรมระหว่างประเทศที่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าธนาคาร ด้วยค่าธรรมเนียมคงที่และสามารถทำธุรกรรมได้กับทุกบัญชีธนาคารในไทย จึงทำให้ธุรกิจต่างๆ มีความยืดหยุ่นในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยและมีส่วนสำคัญต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) DeeMoney for Business จะมาเปลี่ยนแปลงการ ทำธุรกิจของ SME ให้คล่องตัวขึ้น เรามั่นใจว่าบริการนี้ไม่เพียงจะช่วยผู้ประกอบการ SME ให้สามารถขยายธุรกิจการค้ากับต่างประเทศได้มากขึ้นแต่ยังช่วยสร้างความเติบโตให้เศรษฐกิจไทยไปพร้อมกัน”
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) คิดเป็นสัดส่วนถึง 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยหรือกว่า 215,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้ประกอบการ SME กลับเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับบริการที่เหมาะสมจากธนาคารโดยเฉพาะบริการด้านธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ โดยปกติผู้ประกอบการ SME ใช้บริการโอนเงินและชำระเงินระหว่างประเทศโดยระบบ SWIFT ผ่านธนาคารต่อธนาคาร ซึ่งมีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เกิดความล้าช้า และเก็บค่าธรรมเนียมทั้งเมื่อส่งเงินและรับเงิน อุปสรรคทางการค้าเหล่านี้ทำให้ลูกค้ากลุ่ม SME ไม่สามารถบริหารกระแสเงินสดได้ อีกทั้งธนาคารยังไม่สามารถบริการลูกค้ากลุ่ม SME ให้ทัดเทียมกับลูกค้ากลุ่มองค์กรขนาดใหญ่เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรของธนาคารเอง
บริการ DeeMoney for Business ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจ ให้ลูกค้าของดีมันนี่สามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว โปร่งใส รับประกันอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ไม่มีการเปลี่ยนระหว่างการโอน ด้วยค่าธรรมเนียมคงที่อัตราเดียว และรับเงินเต็มก้อนในสกุลเงินท้องถิ่นที่ปลายทาง จึงช่วยให้ลูกค้าประหยัดได้มากกว่า 8% เมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
“ดีมันนี่มุ่งมั่นในการมอบบริการทางการเงินที่ให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายอย่างต่อเนื่อง เราจึงไม่หยุดพัฒนาบริการที่ตอบความต้องการของลูกค้า” รัศเมฆ ศรีเศรษฐี กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้งดีมันนี่ กล่าว “ด้วยบริการ DeeMoney for Business การทำธุรกรรมด้านการค้าระหว่างประเทศจะไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป ไม่ว่าธุรกิจของลูกค้าจะเป็นขนาดใดก็ตาม ดีมันนี่ตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ SME ที่ต้องชำระเงินต่างประเทศอย่างรวดเร็วด้วยบริการ DeeNext ระบบการโอนเงินที่เรารับประกันว่าเงินจะถึงผู้รับภายใน 1 วันทำการ ลูกค้าธุรกิจของเราจึงสามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดีมันนี่ได้พลิกโฉมวงการโอนเงินระหว่างประเทศของไทยโดยเป็นเจ้าแรกที่ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศด้วยค่าธรรมเนียมคงที่ไม่ว่ายอดเงินเท่าไรก็ได้ในอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 และนี่เป็นอีกครั้งที่เราภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำในบริการด้านธุรกรรมระหว่างประเทศด้วยบริการ DeeMoney for Business ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการ SME และลูกค้าธุรกิจในไทยสามารถโอนเงินและชำระเงินระหว่างประเทศอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพที่สุดผ่านเว็บไซต์ www.deemoney.com/business”
ดีมันนี่เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการทางการเงินรายแรกที่ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้เป็นผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) พร้อมได้รับใบอนุญาตให้บริการแลกเงินและใบอนุญาตให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบันบริษัทได้จัดการธุรกรรมเป็นมูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยช่วยให้ลูกค้ากลุ่มบุคคลและกลุ่มธุรกิจประหยัดค่าธรรมเนียมธุรกรรมและอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นกว่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับการทำธุรกรรมผ่านระบบธนาคารแบบดั้งเดิม