“ปวดศรีษะ” อีกโรคยอดฮิตของหลายคน ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วสร้างความรำคาญได้ไม่นอ้ย และถ้ารุนแรงก็สร้างความทรมานให้กับร่างกายได้ ซึ่งหากเกิดอาการดังกล่าวบ่อยครั้ง อย่านิ่งนอนใจ หรือปล่อยไว้จนเกิดอาการเรื้อรัง เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้
วันนี้เรามีข้อมูลที่น่าสนใจจาก นพ.ชยานุชิต ชยางศุ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบสมอง ศูนย์โรคระบบสมอง โรงพยาบาลนวเวช ย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา ที่มีคำแนะนำเกี่ยวกับ วิธีการสังเกตอาการปวดศรีษะ และแนวทางการรักษามาฝาก
อาการปวดศีรษะที่ควรรีบมาพบแพทย์
- อาการปวดศีรษะที่เป็นแบบเฉียบพลัน รุนแรง โดยเฉพาะความรู้สึกว่าอาการปวดเป็นการปวดที่สุดในชีวิตที่เคยเป็นมา
- มีอาการร่วมโดยเฉพาะ มีไข้ หรือมีคอแข็ง (ก้มศีรษะแล้วรู้สึกตึงหรือปวดบริเวณคอ)
- มีอาการชัก ซึม สับสน หรือหมดสติร่วมด้วย
- ปวดศีรษะแบบเฉียบพลันรุนแรงทันทีหลังการออกกำลังกาย หรือมีการกระทบกระแทกบริเวณศีรษะ
- ไม่เคยปวดศีรษะเป็นประจำมาก่อน แล้วมีอาการเฉียบพลันขึ้นมาโดยเฉพาะในคนที่อายุมากกว่า 40 ปี, หรือปวดศีรษะรุนแรงในขณะกำลังตั้งครรภ์
- มีอาการแขนขาอ่อนแรง ชา ตามองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น (อาการเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นนี้อาจเกิดขึ้นได้ในคนที่เป็นไมเกรน แต่มักจะหายไปในเวลาไม่นาน) อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยควรมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยแยกโรคก่อน
- มีความกังวล หรือไม่แน่ใจว่าอาการปวดศีรษะอาจเป็นจากโรคร้ายแรงอย่างอื่น โดยเฉพาะถ้าปวดศีรษะบ่อยๆ หรือรุนแรง
วิธีการดูแลรักษาเบื้องต้นเมื่อมีอาการปวดศีรษะ
- ทานยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวดศีรษะ อย่ารอจนอาการเป็นรุนแรง ยาที่ทานเป็นตัวแรกแนะนำ Paracetamol (ถ้าไม่เคยแพ้ Paracetamol) , ทานยาตามที่แพทย์สั่งถ้าเคยมาพบแพทย์แล้ว
- นอนพัก หรือถ้าหลับได้จะทำให้อาการดีขึ้นเร็ว พยายามหาที่มีแสงน้อย เงียบ เย็น จะทำให้อาการดีขึ้นได้
วิธีปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดศีรษะ
แนะนำให้หาปฏิทินเพื่อจดอาการปวดศีรษะ (Headache calendar) จดรายละเอียดเกี่ยวกับการปวดศีรษะ ทั้งวันที่เป็น เวลา สิ่งที่ทำก่อนที่จะมีอาการ อาหารที่ทานก่อนที่จะมีอาการ ยาที่ทานหรือสิ่งที่ทำให้อาการดีขึ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้จะช่วยในการวินิจฉัยของแพทย์หรือแม้กระทั่งเตือนความจำของตัวเราเองว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุกระตุ้นอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อย
- ●ความเครียด ทุกอย่างที่ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะเครียด ไม่ใช่เฉพาะความเครียดอย่างเดียว รถติด อากาศร้อน แสงจ้า กลิ่นบางชนิดเช่นควันบุหรี่ ควันรถยนต์ กลิ่นน้ำหอม ช่วงมีประจำเดือน
- ไม่ได้ทานอาหาร โดยเฉพาะมื้อเช้า หรือทานเลยเวลามากเกินไป
- ได้รับคาเฟอีนมากหรือน้อยเกินไป มากเกินไปเช่นกาแฟวันละเกิน 3 แก้วขึ้นไป หรือน้อยเกินไปเช่น คนที่ทานกาแฟเป็นประจำทุกวันแล้วไม่ได้ทาน
- นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป นอนไม่หลับ นอนกรน หรือหยุดหายใจขณะหลับ
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- อาหารบางชนิดเช่นชา กาแฟ ชีส ช็อคโกแล็ต ผงชูรส อาจเป็นสาเหตุกระตุ้นการปวดศีรษะ
อาการปวดศีรษะรักษาอย่างไร?
ปรกติอาการปวดศีรษะรักษาได้ด้วยยา ปัจจุบันมียาหลายชนิด ตั้งแต่ยาเบื้องต้นที่แนะนำทั่วไปอย่าง Paracetamol จนถึงยาฉีดเพื่อรักษาอาการปวดศีรษะสิ่งสำคัญคือการตรวจวินิจฉัยแยกโรคหรือภาวะอื่นๆที่ทำให้ปวดศีรษะออกไป ซึ่งทำได้ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย หรือบางกรณีอาจจะต้องทำการตรวจ CT scan หรือ MRI ก่อน, การรักษาโดยการซื้อยารับประทานเองโดยเฉพาะถ้ามีอาการปวดเป็นประจำ มีผลทำให้ติดยาได้ อาจทำให้การปวดศีรษะรุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคอื่นๆแล้วทำให้มีอาการปวดศีรษะอาจมีความเสี่ยงทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที