เนสท์เล่ ไทย เร่งขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค – โลก ชูแนวทางการกินอยู่อย่างสมดุล ตอบโจทย์คนไทยทุกช่วงวัย

เนสท์เล่ ประเทศไทย ประกาศแผนรุกธุรกิจปี 2567 ทั้งกลยุทธ์ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) รุกสร้างการเติบโตทุกพอร์ตผลิตภัณฑ์ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและมีคุณค่าโภชนาการในราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์การกินอยู่อย่างสมดุล พร้อมส่งแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี “คำเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ (Every Little Bite Matters)” ส่งเสริมคนไทยเลือกรับประทานอย่างเหมาะสมเพื่อความสุขกายและสุขใจอย่างยั่งยืน  

Good for You – Good for the Planet

กลยุทธ์ Good for You – Good for the Planet ยังคงเป็นเป้าหมายที่เนสท์เล่มุ่งสานต่อ เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง และตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่มีคุณภาพสูง รสชาติอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการในราคาที่เข้าถึงได้ จากการผลิตด้วยแนวทางความยั่งยืน

ทั้งนี้ นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า “ในปีนี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอพอร์ตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงวัยและส่งเสริมพร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยกินอยู่อย่างสมดุล (Balanced Diet) อีกด้วย  ซึ่งถือเป็นแนวทางการเลือกรับประทานด้วยการปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย เพื่อความสุขกายและสุขใจอย่างยั่งยืน”

จากเทรนด์ของผู้บริโภคสู่แนวคิดการกินอยู่อย่างสมดุล

ผลสำรวจผู้บริโภคทั่วโลกที่จัดทำโดยเนสท์เล่และคันทาร์ในปี 2022 พบว่า 91% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการรับประทานอาหารที่ดี และต้องการให้คนในครอบครัวมีการกินอยู่อย่างสมดุล ขณะเดียวกัน กลับพบว่ามีเพียง 42% ที่สามารถใช้ชีวิตด้วยการกินอยู่อย่างสมดุล โดย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคไทยไม่สามารถกินอยู่อย่างสมดุลได้ ประกอบด้วย

  • เหตุผลด้านราคา เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าอาหารเพื่อสุขภาพมักจะมีราคาสูง
  • ความต้องการสร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันด้วยการรับประทานของหวานหรือขนม
  • ความเร่งรีบจากกิจวัตรประจำวัน ทำให้ไม่มีเวลาในการปรุงหรือเตรียมอาหารที่ดีด้วย

ในปีนี้ จึงได้แบ่งพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย

  • กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคทุกวัน (Everyday Goodness) ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของเนสท์เล่ ประเทศไทย เช่น เนสกาแฟ ไมโล นมตราหมี เนสวีต้า น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ และแม็กกี้
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการเฉพาะกลุ่ม (Tailored Nutrition) ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของผู้บริโภคบางกลุ่ม เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจ เนสท์เล่ เฮลท์ ไซเอนซ์ และผลิตภัณฑ์เพื่อโภชนาการเด็ก เช่น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ เอส 26 ตราหมี คาร์เนชั่น และแนน
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่าง (Mindful Indulgence) ผลิตภัณฑ์ที่สามารถรับประทานได้อย่างพอประมาณ เพื่อสร้างสมดุลที่ดีทางจิตใจ อาทิ ไอศกรีมเนสท์เล่  คิทแคท เนสท์เล่ คอฟฟีเมต รวมถึงเครื่องดื่มเนสท์เล่ที่จำหน่ายในช่องทางการบริโภคนอกบ้าน

เน้นกลยุทธ์เติบโตทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์

  • ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Grow a Healthier Portfolio) ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคทุกวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการเฉพาะกลุ่ม ผ่านการมอบทางเลือกที่ดีขึ้นเพื่อสุขภาพ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมทั้งลดน้ำตาลและโซเดียมในผลิตภัณฑ์ ปัจจุบัน เนสท์เล่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 รายการที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo) นับเป็นจํานวนผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองสูงสุดในบรรดาบริษัทอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดในไทย นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เสริมแร่ธาตุและวิตามิน ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์โภชนาการสำหรับเด็กและผลิตภัณฑ์นม รวมถึงผลิตภัณฑ์บางชนิดสำหรับผู้ใหญ่ ส่งต่อผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้บริโภคทั่วประเทศ
  • ส่งเสริมการรับประทานอย่างสมดุล (Guide with Balanced Choice) สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่าง ด้วยการปรับสูตรอาหารให้ผู้บริโภคได้รับประทานอย่างพอเหมาะ เช่น ไอศกรีมสำหรับเด็กทุกชนิดที่ให้พลังงานเพียง 110 กิโลแคลอรีหรือน้อยกว่า ขนมแบบมัลติเสิร์ฟสำหรับการบริโภคแบบหลายคนหรือบริโภคหลายครั้ง จะมีการระบุปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมสำหรับแต่ละมื้ออย่างชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ 

ทุ่ม 800 ล้านขยายสายการผลิต

พร้อมกันนี้ นายวิคเตอร์ ยังกล่าวว่า เนสท์เล่ยังจัดสรรงบลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อขยายสายการผลิต เริ่มตั้งแต่ปี 2021 ที่ผ่านมาจนถึงปี 2026 เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อผู้บริโภคและสัตว์เลี้ยง แบ่งเป็น

  • การขยายสายการผลิตที่โรงงานยูเอชที เพื่อเสริมแกร่งให้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยูเอชทีทั้งหมด ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ เช่น ไมโล ตราหมี S-26 และคาร์เนชั่น
  • การขยายสายการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแมวเกรดซูเปอร์พรีเมียมชนิดเปียกและชนิดแห้งที่โรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ ทั้งสองแห่ง โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการผลิตอาหารเพื่อสัตว์เลี้ยงให้มีรสชาติและรูปแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์กลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี

เปิดตัวแคมเปญ “คำเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่”

ในปีนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ “คำเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ – Every Little Bite Matters” เพื่อสนับสนุนให้คนไทยได้เลือกรับประทานให้สมดุล ทั้งอาหารที่ดีต่อร่างกายและอาหารที่ดีต่อใจในปริมาณเหมาะสม เนสท์เล่เชื่อว่า อาหารทุกคำสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ตามมาเสมอ

แคมเปญนี้ประกอบด้วยการสื่อสารครบวงจรที่มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล จุดประกายให้คนไทยลองเปลี่ยนคำเล็กๆ ในมื้ออาหาร สร้างสมดุลในทุกวัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ผ่านวิธีง่าย ๆ เช่น การจับคู่เพิ่มประโยชน์ให้อาหาร การควบคุมปริมาณให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย และการจัดมื้ออาหารให้สมดุล รวมทั้งเดินสายให้ความรู้คนไทยผ่านโครงการภารกิจพิชิตสุขภาพดี และกิจกรรมเนสท์เล่คาราวานครอบครัวแข็งแรง ตั้งเป้าเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 1.2 แสนคนใน 200 ชุมชนทั่วประเทศตลอดปี 2024

Good for the Planet

นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังมุ่งมั่นดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ผานกลยุทธ์ในการ “ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา” (Good for the Planet) โดยได้ดำเนินงานตามแผนงานด้านความยั่งยืนตลอดหลายปีที่ผ่านมาและมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก อาทิ 96% ของบรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ประเทศไทย ได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ การจัดหาเมล็ดกาแฟและน้ำนมดิบอย่างยั่งยืน 100% รวมถึงให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้เพาะปลูกกาแฟและเลี้ยงโคนม อีกทั้งยังมีโครงการดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ปัจจุบันโรงงานผลิตน้ำดื่มของเนสท์เล่ที่อยุธยาสามารถชดเชยน้ำกลับคืนสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้ 100% และมีการลดการปล่อยคาร์บอนตามแผนงานที่ตั้งไว้

“ด้วยกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภคและเพื่อโลกของเรา เนสท์เล่จะเดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อคนไทยในทุกช่วงวัย ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 พร้อมทั้งดำเนินงานภายใต้หลักการ ESG ทุกมิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่สังคมไทยและผู้บริโภคชาวไทยวันนี้และอนาคต” นายวิคเตอร์ กล่าว