แสนสิริ ชูประเด็นการลงทุนทางสังคมในกลุ่มเยาวชน “สำคัญ” ตอบรับความท้าทายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเดือนตุลาคม 2566 พบว่าโครงสร้างประชากรของคนไทยขณะนี้เกิดการบิดเบี้ยว ประชากรเข้าสู่วัยผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ขณะที่อัตราการเกิดใหม่น้อยมาก โดยอัตราเกิดที่เหมาะสมคือ 2.1 คน/ประชากร 1 แสนคน แต่ปัจจุบันพบว่าอัตราเกิดอยู่ที่ 1.6 คนเท่านั้น ซึ่งอัตราการเกิดใหม่ที่น้อยลงนี้ ส่งผลถึงประชากรวัยแรงงานที่ลดลง ซึ่งเชื่อมโยงกระทบไปสู่การพัฒนาระบบต่างๆ ของประเทศ

นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัญหาโครงสร้างประชากรในปัจจุบันเป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะในอนาคตจะเกิดปัญหาทั้งด้านแรงงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การแบกรับสังคมสูงวัย ในฐานะภาคเอกชนที่มีส่วนผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราจึงมองว่าเราจะช่วยอย่างไรได้บ้างที่จะสนับสนุนเด็กที่เกิดขึ้นมาแล้วมีคุณภาพชีวิตที่ดี เจริญเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาวะดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในการดำเนินธุรกิจภายใต้เจตนารมณ์ในการช่วยเหลือสังคมและให้ความสำคัญในเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมความเท่าเทียม รวมถึงเจตนารมณ์ในการช่วยเหลือเด็กอย่างยั่งยืน ของแสนสิริ” โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ใกล้ตัวและเข้าถึงรากหญ้าอย่างกิจกรรม“แสนสิริ อะคาเดมี่” ปีที่ 17

จากจุดเริ่มต้นในปี 2549 ด้วยวัตถุประสงค์ในการเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การเคารพสิทธิของตนและคนรอบข้าง การยอมรับและเข้าใจในความหลากหลายของสังคม โดยใช้กีฬาฟุตบอลเป็นเครื่องมือ โดยจัดสอนฟุตบอลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่งเด็กๆ เข้าร่วมแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่างๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์และพบเจอเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันมีเยาวชนผ่านโครงการแล้วถึง 10,000 คน และมีผลพลอยได้ให้เยาวชนเหล่านี้เป็นนักกีฬาทีมชาติและนักฟุตบอลอาชีพแล้วกว่า 50 คน รวมทั้งมีเด็กที่ได้รับทุนการศึกษากว่า 100 คน

ถัดมาคือ ประเด็นเรื่องของการพัฒนาและสนับสนุนสิทธิเด็กในหลากหลายมิติ ซึ่งถูกยกระดับเมื่อปี 2553 โดยแสนสิริได้รับเกียรติเป็นพันธมิตรที่ลงนามกับองค์การยูนิเซฟ ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยร่วมกันผลักดันโครงการ
ต่างๆ เพื่อคุ้มครอง ปกป้องสิทธิ และพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กมากกว่า 17 โครงการ รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่มุ่งเน้นในด้านการพัฒนาความเป็นอยู่ สร้างความตระหนักในด้านสิทธิเด็กและเยาวชนในประเทศไทย ทั้งในด้านสุขภาพ การศึกษา และกีฬา รวมทั้งการให้ความช่วยเหลืออย่างไร้พรมแดนต่อเด็กในประเทศไทยและเด็กทั่วโลก

สำหรับการจับมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่างยูนิเซฟได้เปิดโอกาสให้แสนสิริได้ตระหนักถึงประเด็นสิทธิแรงงานสตรีและเด็กในไซต์ก่อสร้าง โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ ซึ่งในปี 2565 ทางมูลนิธิ
ศุภนิมิตรได้เข้ามาเป็นพันธมิตรในการผลักดันและดำเนินโครงการ “REACH” โครงการเข้าถึงแรงงานหญิงข้ามชาติและครอบครัวในบ้านพักแรงงานก่อสร้าง ภายใต้การสนับสนุนจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือไอแอลโอ (International Labour Organization: ILO) ที่นำร่องในพื้นที่บ้านพักแรงงานในพื้นที่ก่อสร้างภายใต้การดูแลของแสนสิริ จำนวน 10 แห่ง โดยมุ่งเน้นสิทธิในส่วนของแรงงานภาพรวม สิทธิแรงงานสตรี และสิทธิเด็กด้วย 

ผลลัพธ์จากโครงการ REACH ในระยะเวลา 15 เดือน มีแรงงานข้ามชาติได้รับการอบรมทั้งสิ้นไปแล้วทั้งสิ้นเกือบ 2,700 คน เป็นแรงงานสตรี 1,432 คน โดยได้อบรมผู้รับเหมาเรื่องการจ้างงานอย่างมีจริยธรรม สิทธิสตรี/สิทธิเด็ก และการคุ้มครอง จำนวน  188 ราย ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติหญิง มีความรู้เกี่ยวกับสิทธิสตรี อนามัยเจริญพันธุ์ เพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 47.4 และ แรงงานข้ามชาติหญิงมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิ์ลาคลอดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 64.4

ในส่วนของการตอบโจทย์ภาพใหญ่ที่สอดคล้องกับนโยบายการยกระดับการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับ ได้มีการลงนามร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นระยะเวลา 3 ปี สร้าง “ราชบุรีโมเดล” กับโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” สร้างกลไกยั่งยืนที่จะช่วยลดความเสี่ยงเด็กไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษา

“ในปีนี้ เราสนับสนุน กสศ. เป็นปีที่ 2 แล้ว และมีความคืบหน้าที่น่าสนใจคือ “โมเดลการศึกษา 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” และ “โครงการโมเดลพื้นที่ชีวิตเด็กนอกระบบราชบุรี” พื้นที่การเรียนรู้รูปแบบใหม่นี้ เอื้อให้โรงเรียนจัดการศึกษา ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. การศึกษาในระบบ  2.การศึกษานอกระบบ ที่มีความยืดหยุ่นขึ้นด้วยเนื้อหาหลักสูตรสอดคล้องกับสภาพปัญหาความต้องการของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม  และ 3.การศึกษาตามอัธยาศัย เรียนรู้ตามศักยภาพและความสนใจ ทั้งสามรูปแบบ สามารถเทียบโอนผลการเรียนได้ ปัจจุบันเริ่มต้นแล้วใน 12 โรงเรียน ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และมีแผนสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อขยายไปทุกเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดราชบุรีและพร้อมเดินหน้าต่อโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ปีที่ 3 ในปี 2567 ที่จะถึงนี้

“Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” นี้สามารถลดจำนวนเด็กเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษา รวมไปถึงเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาไปแล้ว ได้แล้วเกือบ 10,000 คน จากทั้งหมด 10 อำเภอ

เคยมีหลายเสียงทักถามมาว่าทำไมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถึงได้สนใจประเด็นเรื่องการสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กต่อเนื่อง ซึ่งเราก็ได้ชี้แจงมาโดยตลอดว่า แม้จะไม่ได้เป็นประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง แต่แสนสิริเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชน ซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศมาตั้งแต่ต้น เราจึงพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อเรียนรู้และดำเนินการกิจกรรมหลายๆ อย่าง อันจะมีส่วนช่วยในเรื่องดังกล่าว” นายสมัชชา กล่าว

#Sansiri #YouAreMadeForLife #SansiriSocialChange