เอสซีจี แจงศก.ภูมิภาคยังไม่ฟื้น รุกปรับตัว 3 กลยุทธ์รับมือศก.ผันผวน

ผลประกอบการเอสซีจี Q3/2566 ชะลอตัวจากตลาดภูมิภาคยังไม่ฟื้น วัฏจักรปิโตรเคมีขาลง ส่งออกหดตัว ดอกเบี้ยสูง พร้อม “รุก – เร่ง” ปรับตัวฉับไว ยกระดับการบริหาร ธุรกิจ มุ่งรับมือผลกระทบที่อาจรุนแรงขึ้นจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่จบ ด้วย 3 กลยุทธ์ที่เข้มข้นขึ้น คือ 1) รัดเข็มขัด ลดต้นทุนพลังงาน  2) ทบทวนแผนงาน เน้นลงทุนธุรกิจเติบโตสูง  3) เร่งเครื่องนวัตกรรมกรีน ขยายธุรกิจพลังงานสะอาดและพลาสติกรักษ์โลก เร่งส่งออกปูนคาร์บอนต่ำ  เชื่อมั่นธุรกิจเติบโตมั่นคงระยะยาว ขณะที่เสถียรภาพการเงินแข็งแกร่ง

ภาพรวม Q3 ชะลอตัว Q4 น่าจะดีขึ้น

คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงผลประกอบการเอสซีจีว่า “สำหรับ Q3/2566 ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัว มีรายได้ 125,649 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับธุรกิจเคมิคอลส์อยู่ในช่วงขาลง และสภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่กำไรสำหรับงวด 2,441 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงาน 3,019 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีเงินสดคงเหลือแข็งแกร่ง 99,756 ล้านบาท เนื่องจากเอสซีจีได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และดำเนินงานด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง จึงยังรักษาเสถียรภาพการเงินได้มั่นคง

ขณะที่ Q4/2566 คาดว่า เศรษฐกิจอาเซียนน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่จะมีการลงทุนและการบริโภคเพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ “นูซันตารา” ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากภาคอสังหาฯ และภาคการค้าในเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อีกทั้งค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับตัวลง ทำให้ควบคุมต้นทุนพลังงานได้ดีขึ้น”

3 กลยุทธ์สร้างภูมิให้ SCG 

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงทิศทางการรับมือกับปัจจัยภายนอกที่ยังไม่แน่นอนว่า  นื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน และมีความไม่แน่นอนสูง จากต้นทุนพลังงานผันผวน ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูง ตลาดจีนชะลอตัว ธุรกิจปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัวดี ผนวกกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อสูง ตลอดจนความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังดำเนินอยู่ ดังนั้น เพื่อรับมือกับความผันผวนดังกล่าว เอสซีจีจึงเร่งเดินหน้า 3 กลยุทธ์เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ธุรกิจดำเนินได้ต่อเนื่อง ได้แก่

  1. รัดเข็มขัด ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม มุ่งลดต้นทุนพลังงาน เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด แทนการใช้พลังงานฟอสซิลซึ่งราคาผันผวน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ ปัจจุบันมีการใช้ 220 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงชีวมวลในโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย มีสัดส่วนการใช้ร้อยละ 40 พร้อมทั้งเร่งหาแหล่งพลังงานสะอาดอื่น ๆ อาทิ ปลูกหญ้าเนเปียร์ พืชให้พลังงานสูง 1,000 ไร่ ที่สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทยตั้งเป้าปลูก 3 หมื่นไร่ในปี 2571
  2. ทบทวนแผนงาน ชะลอโครงการที่ไม่เร่งด่วน เน้นลงทุนธุรกิจเติบโตสูง อาทิ ร่วมมือกับ Denka ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ลงทุนร่วมกับ Braskem ในอุต.พลาสติกชีวภาพ และลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมทดสอบเครื่องจักร เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงป้อนตลาดโลก
  3. รุกนวัตกรรมกรีนที่มีความต้องการสูง ตอบเมกะเทรนด์โลก โดยสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice เติบโตโดดเด่น  9 เดือนของปีมียอดขาย 54% จากการขายสินค้าทั้งหมด พร้อมเดินเครื่องเต็มที่เพิ่มยอดขายให้ได้ 2 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมดในปี 2573 ขณะที่ SCG Cleanergy ธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร ให้บริการระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) กับเครือเซ็นทาราพัฒนาเป็น Smart Hotel ควบคู่กับการเร่งส่งออกปูนคาร์บอนต่ำ และผลักดันนวัตกรรมกรีนอื่น ๆ อาทิ พลาสติกรักษ์โลก ธุรกิจรีไซเคิล

SCGC ยอดขายเพิ่ม เร่งสู่ธุรกิจพลาสติกรักษ์โลกครบวงจร

คุณธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า “SCGC มียอดขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น พร้อมเร่งปรับตัวสู่ธุรกิจพลาสติกรักษ์โลกครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ปัจจุบัน SCGC GREEN POLYMERTM  มียอดขาย 1.7 แสนตัน สอดคล้องกับเป้าหมายผลิต 1 ล้านตันภายในปี 2573

ล่าสุด จัดตั้ง บราสเคม สยาม บริษัทร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Braskem ประเทศบราซิล ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาและศึกษาโครงการโดยละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย เพื่อก่อสร้างโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง สำหรับผลิตวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ (Green-PE) ซึ่งจะมีกำลังผลิต 2 แสนตัน/ปี

ขณะเดียวกัน บริษัท ซีพลาสต์ (Sirplaste) ประเทศโปรตุเกส ได้ติดตั้งเครื่องจักรใหม่สำเร็จตามแผน ทำให้มีกำลังผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงรวม 4.5 หมื่นตัน/ปี โดยจะเร่งเดินหน้าผลิตสินค้าในกลุ่มเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น (High Quality Odorless HDPE PCR Resin) รองรับความต้องการในยุโรปที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้านโครงการ ปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเตรียมทดสอบเครื่องจักร เพื่อผลิตโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงป้อนตลาดโลก”

SCG เดินหน้าสู่นวัตกรรมก่อสร้างและกรีนโปรดักท์

คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “นวัตกรรมโซลูชันก่อสร้างและอยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะปูนคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้นเป็น 69% เอสซีจีจึงได้เร่งปรับการผลิตและขยายการส่งออก ส่วน SCG Solar Roof Solutions มียอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งยังร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา จัดทำโครงการต้นแบบศูนย์การค้า Net Zero เริ่มแห่งแรกที่เซ็นทรัล อยุธยา โดยติดตั้ง SCG Air Scrubber โซลูชันเพื่ออาคารอากาศดี ประหยัดพลังงานสูงสุด 30%  นอกจากนี้ ได้ออกสินค้าใหม่ หลังคาเอสซีจี เมทัลรูฟ (Stone Coat) ช่วยลดเสียงฝนกระทบหลังคาสูงสุดถึง 12 เดซิเบลเมื่อเทียบกับแผ่นเมทัลชีททั่วไป ผลิตจากเม็ดหินควอตซ์เคลือบด้วยสีเซรามิก ขณะที่ SCG HOME เปิดศูนย์กระจายสินค้าหลักที่รังสิต มีระบบเชื่อมต่อศูนย์กระจายสินค้าย่อยในภาคต่าง ๆ เพื่อส่งมอบสินค้าให้ร้าน SCG HOME ทั่วประเทศได้รวดเร็ว แม่นยำ สำหรับความคืบหน้า SCG Decor สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้ว เตรียมเสนอขาย IPO ไม่เกิน 439.1 ล้านหุ้น พร้อมคว้าโอกาสเป็นผู้นำอาเซียนธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจร”

SCGP รุกลงทุนธุรกิจที่มีศักยภาพสูง

คุณวิชาญ  จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) กล่าวถึงทิศทางของบริษัทฯ ว่า“SCGP มุ่งดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะตลาด เน้นเพิ่มยอดขายบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังเติบโตได้ดี พร้อมกับเดินหน้ากลยุทธ์ขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เพื่อรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพ

ล่าสุด ลงทุนใน Law Print & Packaging Management Limited ผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรชั้นนำในสหราชอาณาจักร ที่เชี่ยวชาญและเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตสูง ซึ่งจะช่วยเสริมแกร่งให้ SCGP มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์เพิ่มขึ้นและขยายธุรกิจไปยังตลาดระดับโลก นอกจากนี้ ยังลงทุนใน Bicappa Lab S.r.L. ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการรายใหญ่ในอิตาลีและเป็นรายใหญ่ในยุโรป เพื่อขยายสู่ตลาดอุปกรณ์ “ปิเปตต์ทิป” และเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี รวมถึงการขยายฐานลูกค้าและทำให้สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ของ SCGP ในอาเซียน และการเติบโตของธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในอนาคตได้นอกจากนี้ SCGP ได้นำ AI มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และการจัดการพลังงาน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ร้อยละ 15 ในปี 2566 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายแรกที่กำหนดไว้ตาม Science Based Target Initiative: SBTi ที่ 25%ภายในปี 2573 จากปีฐาน 2563”

งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี Q3/2566

เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 125,649 ล้านบาท ลดลง  12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายในทุกธุรกิจลดลง และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics (เปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics)  ขณะที่กำไรสำหรับงวด 2,441 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน 3,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว กำไรสำหรับงวดลดลง 70% เนื่องจากไตรมาสก่อนมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนและเงินปันผล ประกอบกับไตรมาสนี้มีรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค กำไรจากการดำเนินงานลดลง 42% จากไตรมาสก่อน

ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2566

เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 379,028 ล้านบาท ลดลง 15%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดในภูมิภาค มีกำไรสำหรับงวด 27,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน 12,805 ล้านบาท ลดลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปิโตรเคมียังอยู่ในวัฏจักรขาลง ตลาดอาเซียนอ่อนตัว

สำหรับสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) ในช่วง 9 เดือนของปี 2566  มีรายได้ 129,125 ล้านบาท คิดเป็น  34% ของรายได้จากการขายรวม ยอดขายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice 206,048 ล้านบาท คิดเป็น  54% ของรายได้จากการขายรวม

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในช่วง 9 เดือนของปี 2566 ทั้งสิ้น 163,505 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของรายได้จากการขายรวม  

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566 มีมูลค่า 960,058 ล้านบาท โดย  44% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (ไม่รวมไทย) 

ผลการดำเนินงาน Q3/2566 และ 9 เดือนของปี 2566 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC)

Q3/2566 มีรายได้จากการขาย 49,663 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน เนื่อง จากปริมาณขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาสินค้าที่ปรับตัวลง กำไรสำหรับงวด 1,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 311 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 1,391 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและปริมาณขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2566 ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 145,223 ล้านบาท ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าและปริมาณขายสินค้าลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,149 ล้านบาท ลดลง 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและส่วนต่างราคาขายลดลง

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

Q3/2566 มีรายได้จากการขาย 47,015 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics ประกอบกับได้รับผลกระทบจากตลาดภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะที่เวียดนามและกัมพูชา โดยขาดทุนสำหรับงวด 176 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากความท้าทายในตลาดภูมิภาคอาเซียน รวมถึงรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 402 ล้านบาท ลดลง  49%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2566 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง  มีรายได้จากการขาย 144,247 ล้านบาท ลดลง  7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 14,537 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 179% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics ใน Q1/2566 ทั้งนี้ หากหักรายการพิเศษ กำไรสำหรับงวด 3,159 ล้านบาท ลดลง 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP)

Q3/2566 มีรายได้จากการขาย 31,572 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าในจีนและยุโรป ขณะที่ภาคการส่งออกจากอาเซียนโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยยังได้รับแรงกดดันต่อเนื่อง และลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเฉพาะจากกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย โดยมีการส่งออกสินค้าไปยังจีนน้อยลงและการแข่งขันด้านราคาในประเทศที่รุนแรง ประกอบกับปริมาณและราคาขายของเยื่อกระดาษหดตัวตามอุปสงค์ของกลุ่มอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอที่อยู่ในภาวะชะลอตัว โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,325 ล้านบาท ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณและราคาขายของผลิตภัณฑ์เยื่อลดลง ประกอบกับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรประจำปี

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2566 ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขายรวม 97,517 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณและราคาขายลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เยื่อ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคฟื้นตัวล่าช้า โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,030 ล้านบาท ลดลง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณและราคาขายลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เยื่อ ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับรายได้จากการขาย

“การก้าวข้ามความผันผวนทางเศรษฐกิจครั้งนี้  ทุกภาคส่วนต้องผนึกกำลังร่วมกัน  หากภาครัฐช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง  มีมาตรการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ อาทิ ปรับระเบียบขั้นตอนให้สะดวกรวดเร็ว ส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ประเมินภาษีที่ดินใหม่ ทำมาตรการ Green Building ให้เป็นรูปธรรม เนื่องจากภาคอสังหาฯ เป็นห่วงโซ่สำคัญของทุกธุรกิจ พร้อมทั้งขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด ผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงความรู้ เทคโนโลยี เงินทุน ปัจจุบันมีต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกที่สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นจังหวัดนำร่องความสำเร็จสู่การขยายผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโต และเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เอสซีจีให้ความสำคัญกับการสร้างธุรกิจเติบโตควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมตามแนวทางESG 4Plus และพร้อมขยายผลความสำเร็จของ ESG Symposium 2023 ในไทยสู่อาเซียน โดยมีกำหนดจัดงานที่อินโดนีเซียและเวียดนามในพ.ย.นี้