จับกระแส Telehealth…วิถีใหม่ของการรักษาพยาบาลหลังวิกฤติ โควิด-19

ผู้เขียน: ปราณิดา ศยามานนท์

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เราจะเริ่มเห็นแพลตฟอร์มเกี่ยวกับบริการสุขภาพทางไกลหรือที่เรียกว่า Telehealth ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การใช้งานจริงในช่วงแรกอาจยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมากลับกลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ส่งผลให้ความต้องการใช้งาน Telehealth เติบโตอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนอย่างเช่นกรณีของสหรัฐอเมริกาที่การแพร่ระบาดรุนแรงมากในปี 2020 ส่งผลให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนช่องทางการใช้บริการด้านสุขภาพมาสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น

จากงานวิจัยของ McKinsey พบว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาหันมาใช้บริการ telehealth เพิ่มขึ้นจาก 11% ของผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมดในปี 2019 มาอยู่ที่ 46% ในปี 2020 เนื่องจากเป็นรูปแบบการให้บริการที่ตอบโจทย์สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี จากการที่ผู้ป่วยมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังโรงพยาบาลในกรณีที่ไม่ได้เจ็บป่วยฉุกเฉินที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนส่งผลให้มีการเลื่อนการรักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยไม่ฉุกเฉินออกไป

แต่ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยบางส่วนยังมีความต้องการคำปรึกษาและคำแนะนำในการรักษาอาการป่วยทั่วไป ทำให้หันมาใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มการรักษาพยาบาลออนไลน์กันมากขึ้น สำหรับแนวโน้มในระยะต่อไปแม้สถานการณ์การระบาดจะคลี่คลายแล้ว Telehealth ยังน่าจะเป็นรูปแบบของการให้บริการด้านสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจากผลสำรวจของ McKinsey ดังกล่าวข้างต้นยังพบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐอมริกาถึงราว 76% ตอบว่า ยังสนใจจะใช้บริการ Telehealth ต่อไป หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายแล้ว เช่นเดียวกันกับในหลาย ๆ ประเทศที่ Telehealth เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งนี้ Statista ได้มีการคาดมูลค่าตลาด Telehealth ของโลกในช่วงปี 2019-2026 จะเติบโตราว 21% ต่อปีมาอยู่ที่ 1.76 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับในไทย Telehealth ถูกนำมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านการรักษาพยาบาลทางไกล (Telemedicine) ซึ่งส่วนใหญ่ในช่วงแรกจะเน้นไปที่การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น รวมถึงการรักษาผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับการรักษาและควบคุมอาการอย่างต่อเนื่อง แต่โควิด-19 นับเป็นตัวเร่งที่สำคัญที่ส่งผลให้ Telemedicine เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่เพียงแต่การให้คำปรึกษาสำหรับการรักษาพยาบาลขั้นต้นหรือการรักษาแบบเป็นครั้งคราว อาทิ การเจ็บป่วยทั่วไป อย่างเช่น อาการปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง แต่ telemedicine มีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้ในการรักษาพยาบาลสำหรับกรณีที่ต้องมีการติดตามอาการอย่างต่อเนื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างเช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยต้องมีการนัดพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDs เหล่านี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดรับกับเทรนด์การเข้าสู่สังคมสูงอายุ telemedicine จึงเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์การรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดีในหลายด้าน ทั้งในแง่ความสะดวกสบายที่ผู้ป่วยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยมากเกินความจำเป็น อีกทั้ง ยังช่วยลดความแออัดของสถานพยาบาลได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสถานพยาบาลของภาครัฐที่มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ในต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกลยังสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ดียิ่งขึ้นด้วย

แม้ว่า Telehealth จะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แต่ยังมีความท้าทายสำคัญที่ส่งผลต่อวีดีโอยังมีข้อจำกัดในการตรวจวินิจฉัยที่ต้องอาศัยเครื่องมือแพทย์ร่วมด้วย อีกทั้ง การรักษาในหลายกลุ่มโรค ยังมีความจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือตรวจติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDs ส่งผลให้การให้บริการผ่าน Telehealth ต้องมีเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มอื่นๆ มาช่วยเสริมและสนับสนุนการทำงาน เช่น อุปกรณ์ตรวจติดตามทางไกล (Telemonitoring) ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมการรักษาพยาบาลโดยจะมีการนำเอาอุปกรณ์สวมใส่เกี่ยวกับสุขภาพและอุปกรณ์ติดตามอาการอื่นๆ มาเชื่อมต่อผ่านบลูทูทกับข้อมูลของแพทย์ ผ่านการเชื่อมต่อจาก IoMT (Internet of Medical Things) ได้อย่าง Real-Time อาทิ อุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด วัดระดับออกซิเจนในเลือด อุปกรณ์ตรวจจับการทำงานของหัวใจ ตลอดจน Smart Bed ซึ่งการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้กับข้อมูลของแพทย์จะช่วยเสริมให้การรักษาพยาบาลทางไกลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยแพทย์ประเมินอาการผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังต่อยอดไปสู่การมีตัวช่วยเสริม เช่น การแจ้งเตือนผู้ป่วยในการทานยา การวัดค่าต่างๆ เพื่อติดตามอาการ และมีระบบแจ้งเตือนไปยังแพทย์หากพบความผิดปกติ

นอกจากนี้ ความท้าทายอีกด้านหนึ่งของการใช้งาน Telehealth คือระบบการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจาก Telehealth ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการสื่อสารทั้งหมด ข้อมูลการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยจะถูกเก็บไว้ในระบบ Electronic Health Record ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่ข้อมูลสูญหายหรือรั่วไหล ผู้ให้บริการจึงต้องมีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยและป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความมั่นใจในการใช้บริการ ขณะเดียวกัน ต้องเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกให้กับแพทย์ในการพิจารณาประวัติการรักษาได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วนและมีความเชื่อมโยงกันอย่างเช่นกรณีของการรักษาผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายโรคและต้องรับบริการจากแพทย์เฉพาะทางหลายคน

นอกจากการมีเทคโนโลยีมาสนับสนุนการใช้งาน Telehealth แล้วปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริม ให้ telehealth ประสบความสำเร็จมาจากการให้บริการสุขภาพทางไกลแบบครบวงจร ซึ่ง Ping An Good Doctor เป็นตัวอย่างของแพลตฟอร์มด้าน Health Tech ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในจีน จากการมีบริการที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้งในด้านการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ ตลอดจนการมีเครือข่ายโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อส่งต่อผู้ป่วยในกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

นอกจากนี้ ยังมีระบบที่ผู้ป่วยสามารถรับยาได้อย่างรวดเร็วผ่านเครือข่ายร้านขายยาทั่วประเทศ ทั้งนี้ จุดแข็งอีกด้านหนึ่งของ Ping An Good Doctor คือ การมีบริษัทย่อยเป็นบริษัทประกัน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าของบริษัทสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลที่ใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มกับบริษัทประกันได้ ทำให้ผู้ป่วยหันมาใช้บริการมากขึ้น อีกทั้งยังได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการคัดกรองผู้ป่วยในเบื้องต้นอีกด้วย ซึ่งทำให้การใช้บริการมีความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากการมีบริการที่ครบวงจรแล้ว ปัจจัยที่ส่งผลให้ Telehealth ประสบความสำเร็จยังมาจากการเน้นสร้างประสบการณ์ และความผูกพันกับผู้รับบริการ (Patient Experience & Engagement) ตั้งแต่ระบบการนัดหมาย การใช้ VDO Call หรือแม้แต่จบอทที่ช่วยตอบคำถาม แจ้งเตือน ระบบการจัดส่งยา การชำระเงิน รวมถึงการติดตามอาการต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้รับบริการประทับใจและอยากจะกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องในอนาคต