ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ชี้แรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ติดเชื้อโรคโควิด-19 จากการระบาดระลอกสาม (1 เมษายน – 28 มิถุนายน 2564) กว่า 3.6 หมื่นคน คิดเป็น 16% ของผู้ติดเชื้อในไทย ส่วนใหญ่เป็นคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรมและแคมป์คนงานก่อสร้าง หากไม่ยับยั้งการติดเชื้ออาจลามสู่แรงงานส่วนอื่น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าเดิมได้ แนะนายจ้างเร่งนำแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายและเร่งฉีดวัคซีน พร้อมทั้งเสนอภาครัฐอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว และพิจารณาแนวทางควบคุมการระบาดแรงงานต่างด้าวอย่างจริงจัง
การระบาดของโรคโควิด-19 ในไทยระลอกสาม พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศสะสม 2.2 แสนคน และยังไม่มีทิศทางจะลดลงในช่วงเวลานี้ ttb analytics วิเคราะห์การแพร่ระบาดเจาะลึกไปยังกลุ่มแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อเป็นกลุ่มคลัสเตอร์ได้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มแรงงานต่างด้าวเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีจำนวนแรงงานรวมกันกว่า 2.1 ล้านคน และอยู่ในภาคธุรกิจที่ไทยขาดแคลนแรงงาน โดยการวิเคราะห์จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
- แรงงานต่างด้าวในไทยที่อยู่ในภาคธุรกิจและพื้นที่ต่าง ๆ
- สถานการณ์การติดเชื้อของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านในไทย และ
- ข้อเสนอแนะผู้ประกอบการและภาครัฐ
แรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน 2.1 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้าง
ttb analytics ศึกษาโครงสร้างการจ้างงานของประเทศไทย (ณ เดือนพฤษภาคม 2564) พบว่าแรงงานในประเทศมีจำนวน 40 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานไทยจำนวน 37.7 ล้านคน และแรงงานต่างด้าว 2.3 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน (เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว) 2.1 ล้านคน หรือคิดเป็น 91% ของแรงงานต่างด้าวทั้งหมด เมื่อพิจารณาการจ้างงานแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านในไทย พบว่าภาคธุรกิจที่จ้างแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านสูงสุด คือ ภาคก่อสร้างและการผลิต มีสัดส่วนการจ้างแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน 15% และ 10% ตามลำดับ โดยคิดเป็น 28% ของจีดีพี ในขณะที่ภาคการค้าและบริการ มีสัดส่วนการจ้างแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน 5% และ 3% ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาการจ้างงานแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน ด้วยพื้นที่ที่มีการระบาดตามประกาศของ ศบค.ล่าสุด พบว่าพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (10 จังหวัดสีแดงเข้ม ได้แก่
- กรุงเทพมหานคร (4.57 แสนคน)
- สมุทรสาคร (2.18 แสนคน)
- สมุทรปราการ (1.24 แสนคน)
- ปทุมธานี (1.11 แสนคน)
- นนทบุรี (0.85 แสนคน)
- นครปฐม (0.78 แสนคน)
- สงขลา (0.4 แสนคน) ปัตตานี (0.07 แสนคน)
- ยะลา (0.02 แสนคน)
- นราธิวาส (0.01 แสนคน)
ทั้งนี้ มีสัดส่วนแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน 9.3% ของแรงงานรวม หรือจำนวน 1.12 ล้านคน เทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ที่มีสัดส่วนอยู่เพียง 5.7% หรือ 0.96 ล้านคน เท่านั้น จะเห็นได้ว่า แรงงานเหล่านี้ทำงานในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญและยังอยู่ในพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อลักษณะกลุ่มคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งหากมีการแพร่ระบาดมากขึ้นจะทำให้ภาคธุรกิจ ดังกล่าวอาจหยุดชะงักลงได้
สถานการณ์การติดเชื้อโรคโควิด-19 ระลอกสาม แรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านติดเชื้อกว่า 3.6 หมื่นคน
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกสาม นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 28 มิถุนายน 2564 พบว่าการติดเชื้อในประเทศสะสมรวมกว่า 2.2 แสนคน โดยจำนวนการติดเชื้อดังกล่าว เมื่อแยกเฉพาะแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน พบว่ามีการติดเชื้อสะสมกว่า 3.6 หมื่นคน หรือ คิดเป็น 16% ของจำนวนผู้ติดเชื้อในไทย
เมื่อพิจารณาแหล่งเกิดคลัสเตอร์การติดเชื้อของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน พบว่าส่วนใหญ่กว่า 36% ติดเชื้อจากสถานที่ทำงาน และ 25% จากพื้นที่เสี่ยง เช่น ตลาด ชุมชนแรงงานต่างด้าวที่แออัด โดยตัวเลขการติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดระลอกสามช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นมา และเมื่อเจาะลึกเชิงพื้นที่ของการติดเชื้อพบว่าจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ เพชรบุรี ปทุมธานี และสมุทรสาคร มียอดการติดเชื้อสะสมคิดเป็น 72% ของการติดเชื้อแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้าน ซึ่งการติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรม แคมป์คนงานก่อสร้าง และในตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านทำงานอยู่จำนวนมาก
พื้นที่ที่มีการติดเชื้อของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านสูงจะอยู่ในจังหวัดซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ และเมื่อเทียบสัดส่วนการติดเชื้อของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านต่อการติดเชื้อรวมในพื้นที่นั้น ๆ พบว่าพื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านติดเชื้อมาก ได้แก่ เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี และนนทบุรี ซึ่งมีสัดส่วนการติดเชื้อของแรงงานต่างด้าวต่อผู้ติดเชื้อในพื้นที่รวม เท่ากับ 60% 41% 37% 27% 17% และ 12% ตามลำดับ
ทั้งนี้ หากไม่เร่งยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิดในกลุ่มแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านในพื้นที่ดังกล่าว จะนำไปสู่การระบาดวงกว้างต่อแรงงานที่เหลือ รวมถึงในพื้นที่ชุมชนพื้นที่ใกล้เคียงที่อยู่อาศัยของแรงงานต่างด้าวได้
แนะผู้ประกอบการและภาครัฐ นำแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนให้ถูกกฎหมาย และเร่งฉีดวัคซีน
การจัดการปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ในหมู่แรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน เนื่องจากแรงงานเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการผลิตและก่อสร้าง หากไม่บริหารจัดการยับยั้ง จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังแรงงานกลุ่มอื่น ๆ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานได้ นอกจากนี้ สายการผลิตในโรงงานและการก่อสร้างจะหยุดชะงัก ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นลูกโซ่ตามมาได้
ผู้ประกอบการหรือนายจ้างที่มีแรงงานต่างด้าวในกิจการ หากแรงงานต่างด้าวทำงานมานาน แต่ยังไม่ถูกกฎหมาย ควรเร่งนำแรงงานต่างด้าวเหล่านั้นขึ้นทะเบียน เพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรวัคซีนได้และเมื่อแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนแล้ว ให้เร่งฉีดวัคซีน โดยพิจารณาขอจัดสรรจากรัฐ หรือ จัดหาเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจนก่อให้เกิดคลัสเตอร์ในสถานประกอบการ รวมถึงจัดสถานที่ทำงาน และที่พักของแรงงานไม่ให้แออัดมากเกินไป
ภาครัฐสามารถอำนวยความสะดวกด้านการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ถูกกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ทราบจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ชัดเจน สามารถควบคุมและพิจารณาจัดสรรวัคซีนได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ภาครัฐควรจัดการขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าประเทศอย่างเด็ดขาด เนื่องจากอาจเป็นกลุ่มเสี่ยงที่นำเชื้อโรคเข้ามาแพร่กระจายในหมู่แรงงานต่างด้าวด้วยกัน รวมถึงพิจารณาแนวทางการควบคุมการระบาดในแรงงานต่างด้าว อาทิ
- คัดกรองแรงงานแข็งแรงที่มีความจำเป็นในงานสำคัญออกจากที่พักไปอยู่สถานที่ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อขับเคลื่อนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้
- วางแนวทางมาตรฐานการเคลื่อนย้ายแรงงาน จากที่พักอาศัยเดินทางไปปฏิบัติงานในโรงงาน หรือแคมป์ก่อสร้าง โดยควบคุมไม่ให้ปะปนกับประชาชนทั่วไป
- พิจารณาจัดสรรฉีดวัคซีนให้แรงงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีโอกาสติดเชื้อสูง
- ตรวจหาเชื้อซ้ำในสถานประกอบการและชุมชนที่แรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่เป็นประจำ