เนสท์เล่ เปิด รง.ยูเอชทีใหม่ ชูเทคโนโลยีล้ำสมัย – ยั่งยืนตลอดโซ่คุณค่า

จากการประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ 4,500 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อขยายและสร้างโรงงานใหม่ 3 แห่งที่นิคมอมตะนคร, บางชันและนวนคร จากก่อนหน้าที่เนสท์เล่มีโรงงานในประเทศไทย 7 แห่ง

ล่าสุด เนสท์เล่เผยโฉมโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี ที่ใช้งบลงทุนราว 1,530 ล้านบาท และได้เริ่มต้นการผลิตตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี  ด้วยจุดแข็งทั้งด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้มาตรฐานระดับโลก และด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก 

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวถึงการเปิดตัวโรงงานยูเอชที เนสท์เล่ นวนคร 7 แห่งใหม่นี้ว่า  

โรงงานแห่งนี้จึงถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพันธกิจด้านความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า สอดคล้องกับเป้าหมายของเนสท์เล่ระดับโลกในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ตลอดจนลดการใช้พลาสติกที่ผลิตใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี 2568 นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังมีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อดูแลรักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นหลัง

“ในฐานะผู้นำด้านโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพสูงและโภชนาการเหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับผู้บริโภคแล้ว เนสท์เล่ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตและการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย

นอกจากนี้ โรงงานยูเอชที เนสท์เล่ นวนคร 7 ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจให้กับชุมชนผ่านการจ้างงาน เกิดการพัฒนาทักษะของแรงงานในท้องถิ่นให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล”   

สำหรับสายการผลิตจากโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งนี้ ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการสำหรับผู้ใหญ่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า

“โรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 จะผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีภายใต้แบรนด์ “ไมโล” และ “นมตราหมี” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจหลักของเนสท์เล่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค พร้อมคำนึงถึงความยั่งยืนในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่แห่งคุณค่า”

 จากการรายงานของนีลเส็น สินค้ากลุ่มยูเอชที ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าที่มีอนาคตดี นอกเหนือจากไอศกรีม กับกลุ่มอาหารสัตว์ โดยกลุ่มนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอสทีจะเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า  

เทคโนโลยีที่ใช้ในโรงงานแห่งใหม่นี้ครอบคลุมตั้งแต่ “ต้นน้ำ  – กลางน้ำ – ปลายน้ำ” โดยมีทั้ง In-Process และ  After-Process กล่าวคือ

1) กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ

  • การพัฒนาเครื่องโฮโมจีไนเซอร์ ที่ใช้ในการผลิตไมโล โดยเทคโนโลยีเมมเบรน แทนระบบเก่าที่เป็นแบบลูกสูบส่งผลให้มีการใช้พลังงานน้อยลงและลดความถี่ในการซ่อมบำรุง
เครื่องโฮโมจีไนเซอร์ ที่ใช้ในการผลิตไมโล โดยเทคโนโลยีเมมเบรน
  • การใช้ Heat Recovery System เพื่อนำความร้อนจากไอน้ำและน้ำร้อนที่เกิดจากกระบวนการผลิตกลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดการใช้พลังงาน
  • การเลือกใช้สารทำความเย็นที่ไม่ทำลายชั้นโอโซนในระบบการทำความเย็นของโรงงาน
  • การวางระบบจัดการของเสียและน้ำเสียจากการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพตามประเภทของขยะ เช่น การนำไปรีไซเคิล การนำไปสร้างเป็นพลังงานใหม่และการนำไปทำปุ๋ย ทำให้ไม่มีของเสียไปฝังกลบ
  •  การใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เช่น การนำหลอดกระดาษแบบโค้งงอได้มาใช้กับผลิตภัณฑ์ไมโลยูเอชที
  • การลดปริมาณการใช้กระดาษลูกฟูกในการบรรจุสินค้า ด้วยการออกแบบกล่องให้เป็นแบบ Wrap Around แทนกล่องพับฝาชนทั่วไป

2) การจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภค ผ่านโครงการ “กล่องนมรักษ์โลก” ซึ่งเป็นกิจกรรมให้ความรู้กับนักเรียนในโรงเรียนนำร่องเกี่ยวกับการจัดการบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีภายหลังการบริโภคอย่างถูกวิธี รวมทั้งมีกระบวนการเก็บบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีกลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง

โรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งนี้สามารถชี้วัดความมุ่งมั่นเพื่อการพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ ดังนี้

  • ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 4,420 จิกะจูล/ปี หรือเทียบเท่าการเปิดเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU ตลอด 24 ชม. นานถึง 77 ปี
  • นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • ทำให้ประหยัดกระดาษไปได้ 752 ตัน หรือเท่ากับกระดาษ A4 150 ล้านแผ่น
  • ลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ถึง 142 ตัน เท่ากับถุงพลาสติก 26 ล้านใบทุกปี”

นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและมีโภชนาการเหมาะสม โดยใช้หลัก 60/40+ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างน้อย 60% จะต้องมีความพึงพอใจในรสชาติของผลิตภัณฑ์เนสท์เล่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบที่โดดเด่นในท้องตลาด พร้อมเพิ่มเติมคุณค่าทางโภชนาการ
ที่เหมาะสม และส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีแอกทีฟไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี

แผนงานในอนาคตของโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 ประกอบด้วย

  • แผนการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในปี 2564 โดยจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่หลังคาโรงงานและที่จอดรถ  
  • แผนการเปลี่ยนมาใช้กาวกันกล่องลื่นทดแทนการใช้ฟิล์มพลาสติกที่ใช้ยืดพันพาเลทในขั้นตอนการขนส่ง พร้อมทั้งลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ด้วยการใช้ฟิล์มหุ้มบรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล 30%

จากการประกาศเดินหน้าการลงทุน 4,500 ล้านบาทของเนสท์เล่ ไทยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมากับการขยายโรงงานสามแห่ง ประกอบด้วย

  • งบลงทุน 440 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตไอศกรีมที่โรงงานบางชันบางชัน อันเป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อออกไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด ทุ่
  • งบลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอมตะนคร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ อย่างเพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป เเละซุปเปอร์โค้ท เป็นต้น โดยมีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021
  • งบลงทุน 1,530 ล้านบาท สร้างโรงงานนวนคร 7 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี