บมจ. ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP Energy) ผู้จัดจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภายใต้แบรนด์ ‘เวิลด์แก๊ส’ เปิดแนวรบยุทธศาสตร์ปี 64 เป็น Energy Solution Provider ขยับเข้าเซ็กเม้นท์หุงต้มและครัวเรือนที่นับวันเติบโต ส่วนเซ็กเม้นท์ขนส่ง ที่มีแนวโน้มหดตัว ด้วยการขยายฐานตลาดสู่ธุรกิจร้านอาหาร ขยายสาขา ‘ผัดไทยไฟทะลุ’ เป็น 3 สาขาในปีนี้ และเตรียมเข้าสู่ธุรกิจซ่อมถังก๊าซ เพื่อรุกตลาดครัวเรือนเต็มตัว หลังเตรียมเปิดคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง ส่วนต่อขยายเฟส 3 ด้วยเงินลงทุน 550 ล้านบาท มั่นใจใช้ได้ 1 มกราคม 64 และเป็นไปตามนโยบายของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ที่กำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจี มาตรา 7 ต้องสำรองก๊าซแอลพีจีในคลังเพิ่มจาก 1% เป็น 2% ของปริมาณการค้าประจำปี

Energy Solution Provider

ด้วยสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จึงมองหาแนวราบที่จะทำให้ธุรกิจของตนเองขยายต่อไปอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ นพวงศ์ โอมาธิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและบริหารองค์กร บมจ. ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ กล่าวถึงทิศทางใหม่ของบริษัทว่า  

“เราไม่ได้เป็นแค่บริษัทฯ ที่ทำธุรกิจด้านพลังงานเท่านั้น หากแต่เราขยายนิยามเชิงยุทธศาสตร์ใหม่สู่การเป็น Energy Solution Provider ด้วยการเดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมภาคครัวเรือนมากขึ้น โดยจะขยับพอร์ตของภาคขนส่ง – ภาคครัวเรือน – ภาคอุตสาหกรรม จาก 45:45:10 เป็น 20: 45:15 และในอนาคตจะเป็น 10: 70: 20 เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซของภาคออโต้ก๊าซและภาคพาณิชยกรรมมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ความต้องการของภาคครัวเรือนและการหุงต้ม ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคครัวเรือนมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”

การขยายแนวรบครั้งใหม่ล่าสุด ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ ได้จับมือกับ วันเดอร์ ฟู้ด คอมปานี เปิดธุรกิจร้านอาหาร ‘ผัดไทยไฟทะลุ’ ด้วยฝืมือของ ‘แอนดี้ ยังเอกสกุล’ หรือ ‘เชฟแอนดี้ หยาง’ เชฟไทยระดับมิชลินสตาร์ อันเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่บริษัทฯ เข้าสู่ธุรกิจอาหารอย่างเต็มตัวมากขึ้น จากเดิมที่ก่อนหน้านี้ได้จัดประกวด ‘สุดยอดร้านอาหารริมทางระดับโลก’ กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อสนับสนุนธุรกิจสตรีทฟู้ดที่มีมากมายในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของบรรดานักท่องเที่ยว และมีกิจกรรมเกี่ยวกับร้านอาหารอื่นๆ

นพวงศ์เผยว่า “เรามีแผนที่จะเปิด 3 สาขาในปีนี้ด้วยงบลงทุน 15 ล้านบาท โดยสาขาแรกเปิดตัวแล้วที่ ไทย เทสต์ ฮับ (Thai Taste Hub) บริเวณชั้น 1 อาคารมหานคร ช่องนนทรี โดยเน้นที่เมนูผัดไทย พร้อมสร้างการรับรู้ถึง ‘เบื้องหลังกว่าจะเป็นผัดไทย’ และการใช้ไฟจากเตาที่ต้องมีความแรงจึงจะได้รสชาติที่ดี ส่วนสาขาที่สองนั้นเตรียมจะเปิดที่สยามสแควร์ราวๆ กลางเดือนธันวาคมนี้ เน้นทั้งเมนูผัดไทยและข้าวซอย ขณะที่สาขาสามมีแผนจะเปิดแบบเดลิเวอรี่ผ่าน LINE MAN ที่สาขาเพชรบุรีตัดใหม่ นอกจากนี้ เมื่อสามารถควบคุมคุณภาพและปัจจัยต่างๆ ได้ก็มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์สำหรับตลาดต่างประเทศ เนื่องจากในการทำตลาดต่างประเทศนั้นจะต้องมีเชฟคนไทยทำหน้าที่ผัดและควบคุมคุณภาพไปอยู่ในตลาดนั้นๆ ด้วย”

นอกจากนี้ เพื่อให้ WP สามารถควบคุมคุณภาพการบริการถึงคู่ค้าและผู้ใช้คนสุดท้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นพวงศ์เผยถึงการขยายแนวรบอีกเส้นทางหนึ่งว่า “บริษัทฯ สนใจที่จะเข้าสู่ธุรกิจซ่อมถังก๊าซ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถกำหนดสเปกของถังก๊าซและสามารถออกแบบได้ต้องการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคู่ค้าที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวและมีแผนที่จะผนวกกิจการ ซึ่งการขยายธุรกิจตรงนี้จะทำให้บริษัทสามารถประหยัดค่าซ่อมถังก๊าซได้ด้วย จากเดิมที่เราต้องส่งออกไปให้กับบริษัทภายนอกเป็นมูลค่า 60-70 ล้านบาทต่อปีด้วยจำนวนถัง 4.8 แสนถัง/ปี”

สำหรับเงินลงทุน WP จะกู้เพื่อใช้ดำเนินโครงการดังกล่าว จากปกติที่บริษัทฯ ไม่ได้ใช้เงินกู้ในการทำธุรกิจ แต่เนื่องจากในครั้งนี้ บริษัทฯต้องการสำรองกระแสเงินสดไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินประมาณ 700-800 ล้านบาท นอกเหนือการขยายแนวรบอื่นๆ เพื่อหารายได้อื่นและการประหยัดต้นทุน ตลอดจนการใช้เม็ดเงินให้มีความคุ้มค่ามากที่สุด

เปิดคลังสำรองเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเดินหน้ารบสู่ยุทธศาสตร์ใหม่ของ  ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ สู่การเป็น Energy Solution Provider ล่าสุด WP เตรียมเปิดคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง ส่วนต่อขยายเฟส 3  ด้วยความจุกว่า 8,700 ตัน นับแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564 ซึ่งจะส่งผลให้คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกงเป็นคลังก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ด้วยความจุรวมทั้ง 3 เฟส ถึง 13,015 ตัน ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ในช่วงทดลองระบบ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของคลังเก็บและจ่ายก๊าซแอลพีจีของบริษัททั่วประเทศให้มีความสามารถบรรจุก๊าซรวมเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 18,341 ตัน สอดคล้องกับข้อบังคับของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ที่กำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจี มาตรา 7 ต้องสำรองก๊าซแอลพีจีในคลังเพิ่มจาก 1% (3 วัน) เป็น 2% (7 วัน) ของปริมาณการค้าประจำปี  เพื่อเสริมความมั่นคงระบบพลังงานไทย  

 นพวงศ์  กล่าวถึงการขยายศักยภาพคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3 ครั้งนี้ว่า

“บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 550 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง ส่วนต่อขยายเฟส 3 ตามนโยบายของกรมธุรกิจพลังงานที่กำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจี มาตรา 7 ต้องสำรองก๊าซแอลพีจีในคลังเพิ่มจาก 1% เป็น 2% ของปริมาณการค้าประจำปี ซึ่งการลงทุนครั้งล่าสุดจะส่งผลให้คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกงกลายเป็นคลังก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ด้วยความจุรวม 3 เฟสกว่า 13,015 ตัน

นอกจากนี้ ในการก่อสร้างคลังเก็บและจ่ายก๊าซฯ บริษัทได้ใช้เทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและทันสมัย คำนึงถึงการดำเนินการที่มีความปลอดภัยสูงสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14000 และ ISO 45001 ทั้งในด้านการกักเก็บ การบรรจุ และการขนส่ง ควบคู่กับการเสริมศักยภาพของโซ่อุปทานให้พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานของไทยครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ”   

นพวงศ์เผยถึงเป้าหมายของการทำตลาดก๊าซว่า “สำหรับยอดขายช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มที่จะกลับมาใกล้เคียงกับยอดขายเดิมและคาดว่ายอดขายทั้งปีน่าอยู่ที่ 7.5-8 แสนตัน พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ก็มีแผนที่จะเสริมความแข็งแกร่ง ด้วยขยายจุดกระจายสินค้าจาก 12 แห่งเป็น 17 แห่ง เพื่อกระจายสินค้าให้สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม”