จิตตะ เวลธ์ โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ย ปี 2566 กองทุนหุ้นสหรัฐฯ โตโดดเด่น 44.25%
พิสูจน์อัลกอริทึมที่ทำงานได้ดี ยิ่งลงทุนช่วงวิกฤติ AI ยิ่งเก็บหุ้นดีราคาถูกได้มากและฟื้นตัวแรงเมื่อตลาดขาขึ้น มองปี 2567 โอกาสในตลาดหุ้นโลกยังมี หลังเฟดจ่อลดดอกเบี้ย
แนะจัดพอร์ตลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ และคว้าโอกาสจากวิกฤติลงทุนในตลาดหุ้นที่เริ่มฟื้นตัวอย่างจีน-เวียดนาม
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) สตาร์ตอัปสัญชาติไทยที่มีจํานวนกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหารมากที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า ปี2566 ภาพรวมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เผชิญแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัย แต่หลายตลาดก็ยังสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยดัชนี S&P500 ปรับเพิ่มขึ้น 24.73% ฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า ที่ได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นดอกบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงส่งผลดีต่อกองทุน Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ในปี 2566 ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีไปด้วย โดยผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. -31 ธ.ค. 66 สูงถึง 44.25% พิสูจน์ได้ถึงการทำงานของอัลกอริทึมของJitta Wealth และการลงทุนในช่วงวิกฤติจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นตามมา
“ในปี 2565 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา ด้วยความกังวล เป็นโอกาสที่ AI ของ Jitta Wealth สามารถเข้าไปเก็บ หุ้นดีราคาถูกได้จำนวนมาก และเมื่อตลาดฟื้นตัวในปี 2566 จึงเห็นว่า ผลตอบแทนกลับมาเติบโตเหนือกว่าดัชนี”
ส่วนกองทุนประเภท Thematic ที่ลงทุนตามเทรนด์แห่งโลกอนาคตก็สร้างผลตอบแทนได้ดีในปีที่ผ่านมา โดย Thematic Optimize สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 15.27% และ Thematic DIY สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 9.28% ขณะที่กองทุนที่มีการกระจายสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลกอย่าง Global ETF แผนเติบโตก็สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึง 15.37%
สำหรับมุมมองการลงทุนในปี 2567 นี้ นายตราวุทธิ์กล่าวว่า Jitta Wealth ยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นโลกที่สามารถสร้างผลงานได้ดีในปีที่ผ่านมาและน่าจะต่อเนื่องได้ในปีนี้ แม้ว่าการที่เฟดส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยที่สูงมานาน 18 เดือนตั้งแต่ช่วงมีนาคม 2565 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ถูกคงไว้ในระดับสูงเป็นเวลานาน (Higher for longer) นี้อาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ Mild Recession ได้ก็ตาม แต่เชื่อว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ปีนี้จะมีโอกาสที่จะปรับขึ้นมากกว่า ขณะเดียวกัน แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้เม็ดเงินลงทุนโยกย้าย จากสินทรัพย์ปลอดภัยมาสู่สินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นจะกลับมาน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
อย่างไรก็ตาม แม้ดอกเบี้ยจะเข้าสู่ขาลง แต่การลงทุนในตราสารหนี้ ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี
สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากนัก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่สูง
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 นี้ Jitta Wealth ยังคงแนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุน
ให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดและความเสี่ยงที่รับได้ โดยนักลงทุนที่รับความผันผวนได้สูงและคาดหวังผลตอบแทนที่สูงในระยะ 1-3 ปีข้างหน้าสามารถเลือกลงทุนใน Jitta Ranking ประเทศจีน เวียดนาม ที่ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมามากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ และมีโอกาสปรับเข้าสู่ขาขึ้นได้
ในอนาคตอันใกล้ สอดคล้องกับหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) ที่เน้นการเลือกลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ซึ่ง AI ของ Jitta Wealth มีการคัดเลือกหุ้นคุณภาพดีราคาเหมาะสมไว้อยู่แล้ว หากดัชนีตลาดยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักจะยิ่งเป็นโอกาสในการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงในอนาคต
“ในการลงทุนระยะยาว เราพิสูจน์มาแล้วว่า หากลงทุนในช่วงวิกฤติจะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า 2 เท่า เหมือน Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นที่กำลังกลับมาเป็นขาขึ้นอย่างจีนและเวียดนามในเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุด”
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตสามารถลงทุนใ
นกองทุน Thematic DIY หรือ Thematic Optimize ที่ในปีนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะยังเห็นการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็ก
ส่วนนักลงทุนที่รับความผันผวนได้น้อย ต้องการให้พอร์ตเติบโตไปได้เรื่อยๆ แบบไร้กังวล ควรเลือกลงทุนแบบกระจายสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน Global ETF แต่หากเป็นนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอนจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในปีนี้ สามารถเลือกลงทุนในกองทุนตลาดเงินอย่าง Jitta Money ได้
นอกจากนี้ ในจังหวะที่ตลาดผันผวนมากอย่างปีที่ผ่านมา ยิ่งพิสูจน์ได้ถึงกลยุทธ์การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยหรือ DCA ที่ช่วยรับมือความผันผวนได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ ลูกค้าที่ลงทุนใน Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ และมีการ DCA อย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมาพบว่ามีผลตอบแทนสูงถึง 52.07% จากค่าเฉลี่ยของพอร์ตที่ 44.25% เช่นเดียวกับกองทุน Thematic Optimize ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 66 ที่ 15.27% แต่หากลูกค้าที่ใช้กลยุทธ์ DCA จะได้รับผลตอบแทนถึง 37.42% ส่วนกองทุน Thematic DIY สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 9.28% แต่ลูกค้าที่มีการ DCA สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 35.90% ทีเดียว พิสูจน์ว่ากลยุทธ์ DCA ที่ช่วยรับมือการลงทุนที่มีความผันผวนได้ดี เพราะการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จะยิ่งทำให้พอร์ตไม่ผันผวนและสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างเห็นได้ชัด
“ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าตลาดการลงทุนทั่วโลกมีความผันผวนสูง เราอาจควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือการเลือกสินทรัพย์ที่ดีและ DCA ไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ อย่างมีวินัย ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง กลยุทธ์ DCA จะช่วยรับมือความผันผวนได้ดี ดังนั้น แม้จะเผชิญกับช่วงที่ตลาดขาลงรุนแรงและพอร์ตลงทุนติดลบ การรักษาวินัยในการ DCA จะช่วยให้เราข้ามผ่านวิกฤติไปได้และเมื่อเติมเงินเข้าไปจนระยะหนึ่งพอร์ตก็จะเริ่มไม่ติดลบแม้ตลาดยังลบอยู่ก็ตาม ขณะเดียวกัน เม็ดเงินที่เพิ่มขึ้น เรายังได้ผลตอบแทนทบต้นไปเรื่อยๆ อีกด้วย”