บริษัท ซีคอน จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านรายแรกในประเทศไทย ฉลองครบรอบ 60 ปีแห่งคุณภาพการบริการและมาตรฐานเป็นเลิศของวงการรับสร้างบ้าน ตอกย้ำความเป็นผู้นำ เปิด บริษัท ซีคอน ไอดี จำกัด (Seacon ID) ออกแบบและรับสร้างบ้านให้ได้ทุกรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ ขานรับตลาดรับสร้างบ้านฟรีสไตล์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องพร้อมนำเสนอเทคโนโลยี “‘บ้านเย็นอยู่สบายปลอดภัยจากมลพิษและเชื้อโรค’”
มนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวในวาระบริษัทครอบรอบ 60 ปีว่า ซีคอนมุ่งให้บริการลูกค้า ด้วยสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐาน เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นแบบบ้านตามยุคสมัย และเทรนด์ของลูกค้า การให้บริการครบวงจรโดยลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาขออนุญาตต่าง ๆ และที่สำคัญ ด้วยนวัตกรรมเสาคานสำเร็จรูปที่ได้มาตรฐาน ISO9001:2015 หนึ่งเดียวในประเทศไทย นอกจากความทนทาน อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าประหยัดได้อีกด้วย”
พร้อมกันนี้ ซีคอนได้เปิดตัวบริษัท ซีคอน ไอดี จำกัด บริษัทให้บริการออกแบบและสร้างบ้าน ฟรีสไตล์สำหรับลูกค้าที่อยากได้บ้านตามสไตล์ของตัวเอง โดยมุ่งคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าที่แตกต่าง ซึ่งลูกค้ากว่า 20% ที่มาคุยกับเราต้องการแบบบ้านของตัวเอง และความสนใจบ้านขนาด 600 ตารางเมตรขึ้นไป คิดเป็นรายได้กว่า 200 ล้านบาท เราจึงเปิดบริษัทดังกล่าว เพื่อรองรับความต้องการและการขยายตัวในส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบอย่างเดียว หรือสร้างบ้านจากแบบที่ลูกค้ามีอยู่ หรือทำให้ครบวงจร คือทั้งออกแบบและก่อสร้าง บริษัท Seacon ID ทำให้ได้ตามที่ต้องการ” คุณมนู อธิบายเพิ่มเติม
“Seacon ID ให้บริการออกแบบ และรับก่อสร้างแบบบ้านของลูกค้าทุกชนิด ทุก เซ็กเม้นท์ ทั้งบ้านเดี่ยว โฮมออฟฟิศ อพาร์ตเม้นท์ที่มีพื้นที่ใช้สอย 350 ตรม. ขึ้นไป เพื่อลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการคุณภาพครบวงจร ทั้งการขออนุญาตต่าง ๆ ตลอดจนการรับประกันงานโครงสร้างจากซีคอนด้วย
นอกจากนี้ ซีคอนยังพยายามหานวัตกรรมวัสดุก่อสร้างใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพการก่อสร้างให้ลูกค้าอีกด้วย “สภาวะสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้เราต้องเสาะหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาบริการให้กับลูกค้าเพื่ออยู่สบายและความทนทาน โดยเรามี เทคโนโลยี ‘บ้านเย็นอยู่สบายปลอดภัยจากมลพิษและเชื้อโรค’ จากญี่ปุ่น มาช่วยระบายความร้อนและลดความชื้นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่ม Oxygen เพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนการใช้สีที่ทนต่อสภาวะอากาศทั้งแดดทั้งฝน รวมถึงป้องกันเชื้อราและแบคทีเรีย และยังมีบริการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้าทุกบ้านอีกด้วย”
สำหรับผลการดำเนินงานปีที่แล้ว มนู กล่าวว่า “ช่วงล็อคดาวน์ที่มีผลกระทบบ้าง แต่เราก็มีช่องทาง Digital Marketing มาช่วยชดเชยงานเอ็กซิบิชั่น, โรดโชว์และอีเว้นท์ ที่ขาดหายไปได้บ้าง โดยยอดจองตลอดปี 2563 เราทำได้ที่ 1,300 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าประมาณ 10% แต่เรามั่นใจว่า ตลาดรับสร้างบ้านยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านขนาดใหญ่ หรือ ขนาด 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งซีคอนคาดว่านี่จะเป็นทิศทางของตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ด้วย”
มนู เปิดเผยว่า หลังจากที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้ปรับมารุกตลาดบ้านในราคาที่สูงขึ้นมากขึ้น และในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดจองบ้านระดับราคา 2-4 ล้านบาท หายไป 30% โดยเฉพาะในช่วงล็อกดาวน์หายไปถึง 50% แต่เมื่อมีการคลายล็อกดาวนในช่วงเดือนมิถุนายน ทำให้ตลาดในกลุ่มออนไลน์มีอัตราการเติบโตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบ้านระดับราคา 5-20 ล้านบาท จากเดิมในปี 2562 ยอดขายจากกลุ่มออนไลน์อยู่ที่ระดับใกล้เคียง 200 ล้านบาท แต่ในปี 2563 ยอดจองได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 300 ล้านบาท และในปีนี้ก็จะมีรุกการโรดโชว์และทำตลาดออนไลน์มากขึ้น แต่ด้วยสภาวะการแข่งขันตลาดรับสร้างที่สูง แม้ว่าบริษัทฯจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ จึงต้องแสวงหาโอกาสในการทำตลาดใหม่ๆเพิ่มเติม ในกลุ่ม Blue Ocean บริษัทฯ จึงแตกไลน์เปิดบริษัท ซีคอน ไอดี จำกัดขึ้นมา เพื่อเข้าไปรับงานออกแบบก่อสร้างบ้านให้กับลูกค้าที่มีแบบบ้านอยู่แล้ว หรือลูกค้าที่ยังไม่มีไอเดียในการออกแบบบ้าน และรับงานจากสถาปนิกในการสร้างบ้าน ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าที่สนใจบ้าน Seacon ID จะอยู่ในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล สัดส่วน 60% และต่างจังหวัด 40% ขณะนี้มีลูกค้าที่อยู่ในระหว่างการเจรจาแล้วประมาณ 30 ราย แบ่งเป็นลูกค้าที่มีแบบแล้ว 25 ราย แยกเป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 20 ราย ,ต่างจังหวัด 5 ราย และยังไม่มีไอเดียในการออกแบบ 5 ราย คิดในราคา 17,000-20,000 บาท/ตาราเงมตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสเปคของวัสดุก่อสร้าง โดยตั้งเป้ายอดจองจาก Seacon ID ในปีแรกที่ 200 ล้านบาท จากเป้ายอดขายรวม 1,700 ล้านบาทในปี 2564 โดยจากการออกบูธงาน “รับสร้างบ้าน FOCUS 2021” และ “บ้านและสวนแฟร์ select 2021”สามารถทำยอดจองถึง 260 ล้านบาท” นายมนู กล่าว
มนู กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงปี 2563 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ทำให้ตลาดบ้านขนาดเล็ก ขนาดต่ำกว่า 200 ตารางเมตร ราคา 2-4 ล้านบาท ซึ่งเดิมมีอัตราการเติบโตถึง 30% เหลือเพียง 10% ขณะที่บ้านระดับราคาสูง ขนาด 350 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการเติบโตเพิ่มจาก 30% เป็น 60% ส่วนบ้านระดับกลาง ขนาด 200-300 ตารางเมตร ราคา 4-7 ล้านบาท ยังทรางตัว โดยปัจจุบันซีคอนฯ มีแบบบ้านมาตรฐานให้เลือกประมาณ 250 แบบ