สมคิด สั่ง กระทรวงพลังงาน เร่งรัดลงทุนด้านพลังงาน ช่วง 3 ปี กว่า 1.1 ล้านล้านบาท ด้านสนธิรัตน์เล็ง ประกาศรับซื้อไฟฟ้า โรงไฟฟ้าชุมชน 1 ก.ค.นี้
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.กระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลัง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มาร่วมประชุมมอบนโยบาย “พลังงานสร้างไทย” ว่า การประชุมดังกล่าวเป็นการเตรียมแผนงานด้านพลังงานเพื่อลดค่าครองชีพและสร้างรายได้ให้กับประชาชนหลังสถานการณ์เชื้อโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย โดยมีแผนงาน 3 ด้านในช่วงปี 2563-2565 ประกอบด้วย
1. ลดรายจ่ายแก่ประชาชนช่วงโควิด-19 รวมกว่า 40,500 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาและดำเนินการต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ผ่านมาตรการช่วยเหลือสำคัญ เช่น
- ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนและภาคธุรกิจด้วยการบริหารจัดการ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากการนำเข้า Spot LNG
- ยกเว้นเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ (Minimum Charge) ถึง กันยายน 2563
- ตรึงราคาแก๊สหุงต้มถึง กันยายน 2563 และจะพิจารณาขยายไปถึงธันวาคม 2563
- รช่วยเหลือส่วนต่างราคา NGV สำหรับรถสาธารณะ โดย ปตท. ช่วยเหลือส่วนต่างราคาจนถึง กรกฎาคม 2563
- จัดโครงการพลังงานร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 แจกแอลกอฮอล์โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั่วประเทศกว่า 2 ล้านลิตร
- ลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันลง 50 สต.ต่อลิตร
- ลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นลง 50 สต.ต่อลิตร
2. เร่งรัดการลงทุนด้านพลังงาน ช่วง3 ปี (2563-2565) กว่า 1.1 ล้านล้านบาท โดยในปี 2563 ลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ปี 2564 ลงทุน 457,000 ล้านบาท และปี 2565 ลงทุน 450,000 ล้านบาท โดยในปี 2563 จะมีการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ดำเนินการ LNG Hub การลงทุนพัฒนา Grid Modernization และศึกษาความเป็นไปได้ของ Grid Connectivity กับประเทศเพื่อนบ้าน การรื้อถอนแท่นปิโตรเลียม และเร่ง LNG receiving Terminal
3. กระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นฟูหลังโควิด-19 รวมกว่า 30,000 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ชุมชน เกิดการจ้างงานกว่า 8,000 คน ซึ่งต่อจากนี้ กฟผ. จะกระตุ้นให้เกิดการค้าผ่านตลาดนัดออนไลน์ชุมชนโรงไฟฟ้าและท่องเที่ยวเขื่อนทั่วไทย และ ปตท. จะจัด Living Community Market Place และเที่ยวทั่วทิศกระตุ้นเศรษฐกิจกับ Blue Card พร้อมทั้ง กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีแผนที่จะขยายสายส่งไฟฟ้าเพื่อผันแม่น้ำยวมสู่อ่างเก็บน้ำภูมิพลเพื่อชลประทาน และยังช่วยลดปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นได้ด้วย รวมไปถึงการพิจารณาหาแนวทางการนำไฟฟ้าส่วนเกินมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ
สนธิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนโรงไฟฟ้าชุมชนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน เกิดการลงทุนและสร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 10,000 คน เมื่อครบเป้าหมาย 700 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชน ประเภท ควิกวิน 100 เมกะวัตต์ในวันที่ 1 ก.ค.63 หลังจากแผน PDP ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 30 มิ.ย.63 ส่วนโครงการทั่วไป 600 เมกะวัตต์จะเร่งดำเนินการรับซื้อให้ได้ภายในต.ค.63
นอกจากนี้ การใช้ระบบบล็อกเชน เพื่อเข้ามาใช้กับการซื้อขายปาล์มภาคพลังงานทั้งระบบ จะเกิดการหมุนเวียนรายได้กว่า 14,000 ล้านบาท และการลงทุนเพื่อช่วยประกอบการ Start up โดย ปตท. สนับสนุนทุนไปแล้วกว่า 17 ราย และ กฟผ. จะมี Innovation Holding Company เข้ามาช่วยสนับสนุนการพัฒนาไฟฟ้าในยุค Disruptive Technology
พร้อมกันนี้ ยังมีแนวทางที่จะบูรณาการทำงานกับหน่วยงานอื่น เพื่อผลักดันการพัฒนา e-Transportation ให้ครบวงจร ซึ่งกระทรวงพลังงานและหน่วยงานในสังกัดทุกหน่วยจะเร่งเดินหน้าตามแผนงานดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนมีรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้เดินหน้าอย่างเข้มแข็งต่อไป