ภูเก็ตกำลังจะกลายเป็นจุดหมายสำคัญของศิลปะร่วมสมัยอีกครั้ง เมื่อ Thailand Biennale, Phuket 2025 มหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ซึ่งจัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมผ่านสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และการจัดงานครั้งนี้ถือเป็นการจัดครั้งที่ 4 หลังจากเคยจัดมาแล้วในจังหวัดกระบี่ นครราชสีมา และเชียงราย


Thailand Biennale, Phuket 2025
งาน Thailand Biennale, Phuket 2025 จะจัดขึ้นระหว่างพฤศจิกายน 2568 – เมษายน 2569 ครอบคลุม 3 อำเภอหลักของภูเก็ต ได้แก่ อ.เมือง, อ.กระทู้ และ อ.ถลาง มี 13 ศาลา เป็นศูนย์กลางจัดแสดงงานศิลปะและกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ ระยะเวลาการจัดงานทั้งสิ้น 5 เดือน ภายใต้แนวคิด “นิรันดร์กัลป์” โดยในปีนี้ สศร. ได้คัดเลือก 65 ศิลปิน/กลุ่มศิลปินจาก 25 ประเทศเข้าร่วมแสดงผลงาน โดยแบ่งการเปิดตัวศิลปินเป็นหลายรอบ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเปิดตัวแล้ว 45 คน และรอบล่าสุดเพิ่มอีก 15 คน

ทั้งนี้ คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้อธิบายถึงแนวคิด“นิรันดร์กัลป์” ว่าเป็นการเปรียบเปรยถึงความรักและความสัมพันธ์ที่มั่นคง แม้บางสิ่งอาจอยู่ชั่วขณะ แต่การตระหนักถึงความเสื่อมสลายสอดคล้องกับการรักษาธรรมชาติอย่างยั่งยืน งานนี้จึงใช้ศิลปะหลายสาขาเป็นเครื่องมือในการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ และต่อยอดภูเก็ตสู่การเป็นเมืองศิลปะที่ยั่งยืน ที่สำคัญ เป้าหมายของงานครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจัดแสดงศิลปะเท่านั้น แต่ยังมุ่งสร้าง Soft Power ของศิลปะไทยสู่นานาชาติ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างศิลปินไทยและต่างประเทศ ขณะเดียวกัน การจัดงานนี้ยังช่วยผลักดันภูเก็ตสู่การเป็น “เมืองศิลปะ” พร้อมสร้างประโยชน์ต่อสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม รวมถึงสร้างอาชีพและรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย”
ภูเก็ต ‘เมืองศิลปะแห่งอันดามัน’

คุณสมาวิษฎ์ สุพรรณไพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ท่านได้ถ่ายทอดถึงความพร้อมและมุมมองที่มีต่อการจัดงานครั้งประวัติศาสตร์นี้ว่า “จังหวัดภูเก็ตได้บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนชุมชนและเครือข่ายศิลปินในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อขับเคลื่อนงาน Thailand Biennale ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดงาน การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะติดตั้งถาวร การจัดกิจกรรมคู่ขนาน ไปจนถึงการประชาสัมพันธ์ร่วมกับชุมชนในสามอำเภอของภูเก็ต การจัดงานครั้งนี้ยังเป็นการทำงานเชิงบูรณาการที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ที่สำคัญ จังหวัดภูเก็ตไม่ได้มองงานศิลปะเป็นเพียงกิจกรรมชั่วคราว แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อพัฒนาเมืองสู่การเป็น “เมืองศิลปะ” ที่ยั่งยืน”




ขณะที่ คุณเรวัติ อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) กล่าวถึงเหตุผลที่ สศร. เลือกทำเลที่ภูเก็ตว่า การจัดงานครั้งนี้นอกจากจะสะท้อนศักยภาพด้านศิลปวัฒนธรรมของภูเก็ตแล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับภาพลักษณ์จังหวัดในฐานะ ‘เมืองศิลปะแห่งอันดามัน’ ตามแนวคิด “นิรันดร์กัลป์” ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับธรรมชาติ ความรัก ความยั่งยืน และความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม ในนามขององค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่จังหวัดภูเก็ตได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานนี้ และ อบจ.ภูเก็ตพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกแก่ศิลปินและนักท่องเที่ยว รวมถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เพื่อให้ภูเก็ตกลายเป็นเวทีที่สร้างแรงบันดาลใจและเปิดพื้นที่ให้กับศิลปินทั้งไทยและต่างชาติ

ผมเชื่อมั่นว่า การจัดงานครั้งนี้จะไม่เพียงสร้างสีสันด้านศิลปะ แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวของจังหวัด ตลอดจนเป็นรากฐานในการต่อยอดภูเก็ตสู่การเป็น “เมืองศิลปะที่ยั่งยืน” อย่างแท้จริงด้วย”

RichestRoller แลนด์มาร์กใหม่ภูเก็ต
นอกจากนี้ ที่ อ.ถลาง ยังมีประติมากรรมร่วมสมัยชิ้นแรกของงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Phuket 2025 เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของเมืองภูเก็ต ณ บริเวณปลายสุดแหลมสะพานหิน ฝั่งป่าชายเลน ด้วยผลงาน RichestRoller (ความมั่งคั่งอันเป็นนิรันดร์) โดย ดร. กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องความรุ่งเรือง ความงดงาม และความยั่งยืนของชุมชน โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบรรยากาศทางศิลปะในพื้นที่เมืองภูเก็ต เพื่อดึงดูดทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัย


ดร. กมล กล่าวถึงแลนด์มาร์กใหม่นี้ว่า “ผลงานใช้แสตนเลสเกรดดี เนื่องจากติดตั้งอยู่ใกล้ชายทะเล ด้วยสนับสนุนทางงบประมาณในการสร้างถึง 2 ล้านบาท จาก คุณอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) และนายกสมาคมศิลป์ภูเก็จ เป็นผงานที่สะท้อนถึงภาวะของโลกในยุคของความเปลี่ยนแปลงโดยมีภูเก็ตเป็นตัวกลางเชื่อมโลก พร้อมสื่อถึงภาวะร่วมของมวลมนุษยชาติ โดยจะเห็นได้จากการสื่อถึงเรื่องราวและความเป็นมาของภูเก็ตผ่านลวดลายที่ฉลุโปร่ง ทั้งอักษรจีน สัญลักษณ์เงินจีน ค้างคาว (สัญลักษณ์ความมั่งคั่ง) เหมืองแร่ดีบุกที่สะท้อนผ่านสีเงินของชิ้นงานประติมากรรม ตลอดจนถ้อยคำต่างๆ ที่สื่อให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของผู้คนบนเกาะ ส่วนรูปทรงสื่อถึงใบเรือสำเภาที่เปรียบเสมือนการเดินทางที่เชื่อมโยงโลกกว้างเข้ากับวัฒนธรรมของเมืองท่าสำคัญแห่งนี้”
