บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA เปิดแผนนโยบาย GREEN MISSION ตอกย้ำผู้นำเบอร์หนึ่งตลาดสีอาคารและวัสดุก่อสร้างครบวงจร ด้วยโรดแมปพิชิต Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม ภายในปี 2050 เพื่อบูรณาการองค์กรยั่งยืนตามหลัก ESG เสริมแกร่งความสำเร็จกับการคว้าฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือฉลากลดโลกร้อน (CFR) มากที่สุดในสีอาคาร รวม 40 ผลิตภัณฑ์ พร้อมเติบโตสู่ปีที่ 60 อย่างแข็งแกร่ง
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ถือเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อโลกและมนุษยชาติ ซึ่งจากมติที่ประชุม COP28 เมื่อปลายปี 2023 ที่ผ่านมา ยังคงย้ำชัดถึงข้อตกลงที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันรักษาระดับอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เนื่องจากรายงานของปีนี้ระบุว่า ช่องว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงสูงกว่าปีที่แล้ว 1.2% ทำให้ต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์
TOA ในฐานะผู้นำตลาดและภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตสีในประเทศไทยและอาเซียน โดยตลอดระยะเวลา 60 ปี เรามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัยของผู้บริโภคและใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง เราจึงเป็นผู้ผลิตสีรายแรกในประเทศไทย ที่ยกเลิกการใช้สารโลหะหนัก ปรอท ตะกั่ว ในสีทาอาคารได้สำเร็จ ตั้งแต่ปี 1977 รวมทั้งการไม่หยุดพัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมสีที่ปลอดภัย ใส่ใจต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เราจึงพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของโลกในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Action) โดยการประกาศนโยบาย GREEN MISSION เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (SDGs) ตามกรอบแนวคิด ESG ทั้ง 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. Environment การดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด 2. Social ความรับผิดชอบต่อผู้ที่มีส่วนได้เสียในทุกมิติ ตั้งแต่ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้า ลูกค้า ชุมชนและสังคม 3. Governance การกำกับดูแลองค์กรให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย
ด้าน ดร.ภาณุพงศ์ ภูทะวัง ผู้จัดการอาวุโส สายงานกลยุทธ์องค์กรและการพัฒนาอย่างยั่งยืน บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) เผยว่า TOA ตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมภายในบริษัทให้ได้ 50% ภายในปี 2030 หรือคิดเป็นมากกว่า 8,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TonCO2e) พร้อมตั้งเป้าหมายในการสร้างสิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือคาร์บอนเครดิต จากการดำเนินงานเกี่ยวกับพลังงานทดแทน การขนส่ง การจัดการของเสีย และการปลูกป่าให้ได้ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MTonCO2e) ภายในปี 2042 โดยการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการในทุกกระบวนการของ TOA Circular Economy ตั้งแต่กระบวน การต้นน้ำจนถึงปลายน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และทำให้เกิดของเสียเป็นศูนย์
ด้วยการดำเนินงาน 7 กลยุทธ์หลัก หรือ 7-Green คือ Green Production – Green Energy – Green Value Chain – Green Partner – Green Reforestation – Greenovation – Green Certified & The Carbon Footprint Reduction or Global Warming Reduction Label ได้แก่
1. Green Production เราใส่ใจและให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการผลิตภายในให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้กระบวนการผลิตในระบบปิดที่ได้มาตรฐานระดับสากล ใช้ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์มาช่วยเพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอนในการผลิต ใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดจากแสงอาทิตย์ การจัดการของเสียเพื่อทำให้ของเสียเป็นศูนย์ (Zero Waste Management)
2. Green Energy การใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดจากแสงอาทิตย์ทั้งในส่วนการผลิตและการดำเนินกิจกรรมทั่วไปในบริษัท ลดการใช้พลังงานจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล ใช้ระบบการขนส่งสินค้าภายในและภายนอกด้วยระบบรถไฟฟ้า (EV) การจัดระบบขนส่งสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสูงสุด
3. Green Value Chain กระตุ้น ผลักดัน และสนับสนุนให้เกิด Green Environment ในทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากภายนอกบริษัท ทั้งในส่วนคู่ค้าและลูกค้า ทำให้เกิดวงจรสีเขียวขึ้นครบระบบอย่างแท้จริง รวมทั้งยังมีส่วนช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคในการเปลี่ยนสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของประเทศ
4. Green Partner การร่วมมือกับพันธมิตรภาคธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อโลกอย่างยั่งยืน หรือ Green Partner ในการสร้างสรรค์ พัฒนานวัตกรรมสีเขียวที่ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการคิดค้นโซลูชั่นต่างๆ เพื่อตอบโจทย์คู่ค้า ผู้บริโภคและช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาทิ โปรเจกต์ “ฝ้ายิปซัม รีไซเคิล” ที่มีแนวคิดมาจากการพยายามลดเศษวัสดุฝ้าเหลือใช้ที่จะกลายเป็นของเสียในโครงการก่อสร้างต่างๆ แล้วนำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด สามารถลดวัสดุของเสียหน้างานได้จริงกว่า 10% และนวัตกรรม “สีรักษ์โลก รุ่น Expert Series” ซึ่งเป็นนวัตกรรมสีทับหน้ารวมรองพื้นไว้ในกระป๋องเดียว สามารถทาง่าย เพียง 2 เที่ยว ช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยประหยัดการใช้น้ำกว่า 78 ลิตรต่อการทาสีบ้านหนึ่งหลัง
5. Green Reforestation จัดตั้งโครงการ “TOA รักษ์เรา รักษ์โลก ฟื้นคืนผืนป่าและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชนและประเทศ ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยเพิ่มสมดุลธรรมชาติ ดูดซับและกักเก็บคาร์บอน ช่วยสร้างแหล่งการเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนท้องถิ่น พร้อมตั้งเป้าจะปลูกป่าเพิ่มให้ครบ 2 ล้านต้น ภายในปี 2033
6. Greenovation มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ใส่ใจต่อสุขภาพผู้บริโภค และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการแสวงหาวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่ดีที่สุด ภายใต้แนวคิด Greenovation หรือ นวัตกรรมสีเขียว ที่ช่วย ลดผลกระทบทางลบและรักษาสุขภาพของผู้ใช้งานเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Better Health & Wellness) ทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งมีการจัดการของเสียที่เกิดขึ้นหลังจากการใช้สินค้า เช่น การทำบรรจุภัณฑ์ในกลุ่ม ถังพลาสติกที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% การใช้เม็ดพลาสติกที่ได้จากการรีไซเคิล รวมทั้งกระบวนการจัดการเรื่องการนำถังพลาสติกกลับเข้าระบบปิด เพื่อนำมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกและใช้ในวงจรการผลิตถังพลาสติก (Closed loop) ให้ได้มากที่สุด
7. Green Certified เราได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ “TOA GREEN CERTIFIED” สัญลักษณ์สินค้าคุณภาพ การันตีด้วยเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยที่ดีต่อผู้บริโภคและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สะท้อนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ปลอดภัย ไม่ทำลายสุขภาพ ช่วยลดโลกร้อน อาทิ สุดยอดนวัตกรรมสีรักษ์โลอย่าง ‘TOA Organic Care’ สีทาภายในที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี Bio-Based ใช้วัตถุดิบหลักจากพืชหมุนเวียน รายแรกและรายเดียวในไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก USDA สหรัฐอเมริกา และ“TOA Aqua Shield” สีเคลือบทับหน้ารวมรองพื้น สูตรน้ำกลิ่นอ่อน ปลอดภัย ทาได้หลากหลายพื้นผิว จึงช่วยลดขั้นตอนการทา ช่วยประหยัดการใช้น้ำมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ TOA ได้ผ่านการรับรองฉลากคาร์บอนและฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ในกลุ่มสีทาอาคารและแผ่นยิปซัมมากถึง 320 ผลิตภัณฑ์ ที่ครอบคลุมตลาดสีทาอาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบัน อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าเรือธงอย่าง SuperShield, TOA Organic Care, TOA Shield-1 Nano, 4SEASONS, SUPER MATEX, Expert series (Shield, Pro, Flex) และ TOA 7in1 อีกทั้ง TOA มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องทุกมิติในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองเครื่องหมายฉลากลดโลกร้อน สะท้อนถึงความสำเร็จในการมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้า จนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริงตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งเป็นการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้น ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง กระบวนการผลิต การใช้งาน และการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้ โดยมีรูปแบบสำหรับการประเมิน ประกอบด้วย การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ในปีปัจจุบัน การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ในปีฐาน (Base Year) การเปรียบเทียบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ในปีปัจจุบันกับปีฐาน แล้วพบว่าค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 และนำผลการเปรียบเทียบพิจารณาตามเกณฑ์การประเมิน เพื่อขึ้นทะเบียนเครื่องหมายลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์
โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา TOA ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินการตามกลยุทธ์ 7-Green สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 31,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TonCO2e) เทียบเท่ากับการปลูกต้นสักมากกว่า 1,800,000 ต้น ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ TOA ว่านอกเหนือจากนวัตกรรมสินค้า คุณภาพสินค้า และบริการที่ได้รับแล้ว ทุกท่านยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโลกของเราในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติโลกร้อน ทั้งยังช่วยลดผลกระทบทางลบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวอีกด้วย