อินโดนีเซียโอกาสใหม่สำหรับผู้ประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์ของไทย

Key Highlights:

·     แม้อินโดนีเซียจะมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมต้นน้ำด้านวัตถุดิบอย่างแร่นิกเกิลและอุตสาหกรรมกลางน้ำในส่วนของการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ แต่ยังคงพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์และระบบอิเล็กทรอนิกส์สำคัญที่อยู่ในอุตสาหกรรมกลางน้ำสำหรับป้อนการผลิตรถยนต์ EV ในประเทศ

·      ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ EV ที่ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยและมีศักยภาพในการแข่งขันไปยังอินโดนีเซีย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องแปลงไฟฟ้า ขณะที่ต้องเร่งยกระดับศักยภาพการผลิตสินค้าอีกหลายกลุ่ม หากต้องการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด เช่น วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟฟ้า ซึ่งหากไทยสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินค้าข้างต้นได้เป็น 8%  จากเดิม 2% จะช่วยดันให้มูลค่าส่งออกในสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็นราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันไทยควรรักษาส่วนแบ่งตลาดในสินค้าที่มีการส่งออกไปยังอินโดนีเซียในระดับสูงแต่เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาด เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ยางรถยนต์ และวงจรไฟฟ้า

·      Krungthai COMPASS แนะนำภาครัฐควรเร่งส่งเสริม R&D พัฒนาแรงงานเฉพาะทาง ในสินค้าที่ไทยยังแข่งขันได้จำกัด รวมถึง Smart Auto Parts ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีผ่านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและหาโอกาสขยายบทบาทในห่วงโซ่อุปทาน EV อินโดนีเซีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาด

ภวิกา กล้าหาญ
ปัณฑ์รพล นันท์นิธิวรกุล

อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV) อย่างรวดเร็ว ทั้งจากแรงผลักด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และแรงดึงจากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐทั่วโลก ภูมิภาคอาเซียนเองก็กำลังก้าวเข้าสู่กระแสนี้ โดยไทยและอินโดนีเซียนับเป็นสองประเทศหลักที่ได้รับการจับตามองในฐานะฐานการผลิตยานยนต์สำคัญของภูมิภาค

ขณะนี้อินโดนีเซียกำลังพัฒนาฐานการผลิตรถยนต์ EV ภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการผลิต EV แห่งหนึ่งของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญจำนวนมาก เนื่องจากโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศยังไม่สมบูรณ์ ช่องว่างดังกล่าวจึงกลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนจากไทย ซึ่งมีความแข็งแกร่งในด้านนี้อยู่แล้ว สามารถเข้าไปมีบทบาทในการขยายตลาดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซียได้ เป็นหนึ่งในแนวทางการกระจายความเสี่ยงจากตลาดส่งออกหลัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการค้าโลกและมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในระยะข้างหน้า


บทความฉบับนี้ Krungthai COMPASS จึงอยากชวนผู้อ่านมาติดตามพัฒนาการในอุตสาหกรรมยานยนต์ EV ของอินโดนีเซีย ผ่านการวิเคราะห์ภาพของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV โดยเน้นในกลุ่มรถยนต์ EV 100% หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) เป็นหลัก เพื่อประเมินโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ EV ไปยังอินโดนีเซีย

อินโดนีเซียกับเป้าหมายในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรม การผลิตยานยนต์ EV ของอาเซียน
อินโดนีเซียนับเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ของอาเซียน โดยผลิตรถยนต์ได้มากเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากไทยมียอดการผลิตกว่า 1.2 ล้านคันในปี 2024

ขณะเดียวกัน ยังเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์อันดับ 1 ของภูมิภาค ด้วยยอดการผลิตราว 7 ล้านคัน/ปี ซึ่งส่วนใหญ่มากกว่า 90% รองรับความต้องการภายในประเทศ ด้านมูลค่าการส่งออก อินโดนีเซียครองอันดับ 2 ของอาเซียนทั้งในส่วนของรถยนต์และจักรยานยนต์มีมูลค่าส่งออกรวมกันราว 7.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 ซึ่งอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในฐานการผลิตที่สำคัญของค่ายรถยนต์ระดับโลก เช่น Toyota, Honda, Mitsubishi Motors และ Hyundai เป็นต้น

เมื่อปี 2019 อินโดนีเซียเริ่มประกาศนโยบายส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ EV อย่างเป็นทางการ โดยมีการอนุมัติและบังคับใช้กฎหมายสำคัญคือ Presidential Regulations 55/2019 Regulation of Acceleration for BEV Development ที่กำหนดแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรม หน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง และนิยามยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รวมถึงประกาศใช้ Regulation of LCEV Minister Degree No.36/2022 ที่กำหนดมาตรฐานของยานยนต์คาร์บอนต่ำ เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับการพัฒนารถยนต์ EV ราคาประหยัดสำหรับใช้งานในประเทศ

ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้ตั้งเป้าหมายที่จะมีรถยนต์ EV จำนวน 2 ล้านคัน และรถจักรยานยนต์ EV 12 ล้านคัน รวมทั้งมีเป้าหมายการผลิตรถยนต์ EV 6 แสนคัน/ปี และรถจักรยานยนต์ EV 2.5 ล้านคัน/ปี ภายในปี 2030 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการออกมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ทั้งในแง่ของสนับสนุนการผลิต เช่น การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีนำเข้าแก่ผู้ผลิตที่มีการลงทุนในประเทศ การกำหนดสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (% TKDN) ขั้นต่ำ 40% สำหรับรถยนต์ EV เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ ตลอดจนการส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานผลิตแร่สำคัญและแบตเตอรี่ในประเทศ เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานครบวงจร และส่วนของมาตรการสนับสนุนการบริโภค เช่น การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับรถยนต์ EV ที่มีสัดส่วน TKDN ตามเกณฑ์ รวมถึงการยกเว้นภาษีสรรพสามิตในบางกรณี เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ EV มากขึ้น

หลายภาคส่วนมองว่าอินโดนีเซียมีศักยภาพในการเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ EV ของอาเซียน เช่น Arthur D. Little (ADL) ระบุในรายงาน Unleashing Indonesia’s electric mobility potential1 ว่าอินโดนีเซียไม่เพียงเป็นหนึ่งในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ยังมีจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะแร่นิกเกิลซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับแบตเตอรี่ Lithium-ion ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายเชิงรุก พร้อมมาตรการจูงใจนักลงทุน ทำให้อินโดนีเซียมีความพร้อมในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ EV ของภูมิภาคในระยะยาว เช่นเดียวกันกับ PwC Indonesia ที่ระบุในรายงาน The Road Ahead: Indonesia’s Electric Vehicle Readiness and Consumer Insights 20242 ว่า ตลาดรถยนต์ EV ของอินโดนีเซียมีแนวโน้มขยายตัวจากการสนับสนุนของภาครัฐ ประชากรชนชั้นกลางที่เติบโต และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มหันมาสนใจทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางถึงสูงในเมืองใหญ่

อย่างไรก็ตาม ทั้ง ADL และ PwC ต่างมองว่า อินโดนีเซียยังต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จ โครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า รวมทั้งต้องมีแนวนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน สม่ำเสมอ พร้อมกับการสื่อสารในวงกว้างกับนักลงทุนและผู้บริโภค เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV เติบโตอย่างยั่งยืน

เจาะลึกห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของอินโดนีเซีย
เพื่อให้เห็นภาพพัฒนาการอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ EV ของอินโดนีเซีย สามารถแบ่งโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

ต้นน้ำ (Upstream): อุตสาหกรรมการทำเหมือง แปรรูปแร่ และการผลิตวัสดุแบตเตอรี่
อินโดนีเซียนับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตต้นน้ำของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ทั้งการทำเหมือง การแปรรูปแร่ และการผลิตวัสดุแบตเตอรี่ ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV จากหลายปัจจัยสนับสนุน ได้แก่

1) ความอุดมสมบูรณ์ของแร่นิกเกิลในประเทศ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion ชนิด NMC (Lithium Nickel Manganese Cobalt Oxide) ที่ใช้อย่างแพร่หลายในรถยนต์ EV ทั่วโลก จากข้อมูลของ U.S. Geological Survey (USGS) ระบุว่า ปัจจุบันอินโดนีเซียมีปริมาณแร่นิกเกิลสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ที่ 55 ล้านตัน คิดเป็น 42% ของปริมาณสำรองทั่วโลก

2) การผลักดันนโยบายเชิงรุกของภาครัฐ โดยรัฐบาลอินโดนีเซียดำเนินนโยบายห้ามส่งออกแร่นิกเกิลดิบอีกครั้งในปี 2020 เพื่อกดดันให้เกิดการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าในประเทศ แต่ยังส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ

3) เทคโนโลยีการสกัดแร่นิกเกิลจากแร่เกรดต่ำ หรือ High-Pressure Acid Leach (HPAL) เป็นเทคโนโลยีสำคัญ ที่ทำให้อินโดนีเซียสามารถแปรรูปแร่นิกเกิลเกรดต่ำให้กลายเป็นวัตถุดิบในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ที่สำคัญอย่าง Nickel Sulfate ได้ ก่อนที่จะนำไปใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion ชนิด NMC ต่อไป โดยปัจจุบันอินโดนีเซียมีโรงงาน HPAL แล้ว 4 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 4.8แสนตัน/ปี และมีแผนลงทุนเพิ่มอีก 6 แห่งภายในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิต Nickel Sulfate ของอินโดนีเซีย ได้ราว 4.5 แสนตัน/ปี และคาดว่าจะทำให้อินโดนีเซียมีส่วนแบ่งตลาดนิกเกิลเกรดแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 30% เป็น 60% ภายในปี 2030

กลางน้ำ (Midstream): อุตสาหกรรมการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ (รวมการประกอบโมดูลและแพ็คแบตเตอรี่) การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (รวมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์)

อินโดนีเซียนับว่ามีศักยภาพในอุตสาหกรรมการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ Lithium-ion ชนิด NMC เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมต้นน้ำและการลงทุนของผู้เล่นระดับโลก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมการประกอบโมดูลและแพ็คแบตเตอรี่ โดยในช่วงที่ผ่านมาอินโดนีเซียมีเม็ดเงินลงทุนในโครงการผลิตเซลล์แบตเตอรี่อย่างน้อย 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะทำให้อินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ สำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion ชนิด NMC อยู่ที่ราว 75 GWh/ปี หรือรองรับการผลิตรถยนต์ EV ได้มากกว่า 1 ล้านคัน/ปี3 ภายในปี 2028

แม้ว่าอินโดนีเซียจะมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมต้นน้ำและอุตสาหกรรมกลางน้ำในส่วนของการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ แต่ในส่วนของอุตสาหกรรมกลางน้ำอย่างการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV และระบบอิเล็กทรอนิกส์สำคัญยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังต้องพึ่งพาการนำเข้า โดยอินโดนีเซียพึ่งเริ่มมีการผลิตรถยนต์ EV ในปี 2022 ซึ่งช่วงปี 2021-2024 อินโดนีเซียมีมูลค่านำเข้าสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 10% (CAGR) โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ายางรถยนต์ ระบบขับเคลื่อนและแปลงพลังงาน รวมถึงไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 21% 11% และ 10% (CAGR) ตามลำดับ

สอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของนาย Kukuh Kumara เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์อินโดนีเซีย (GAIKINDO) เมื่อวันที่ 15 มิถุยายนที่ผ่านมา4 ที่กล่าวว่า การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรม EV ที่สมบูรณ์นั้นจำเป็นต้องมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่ แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งปัจจุบันอินโดนีเซียยังคงต้องนำเข้ามอเตอร์ไฟฟ้า รวมทั้งชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญสำหรับระบบรถยนต์ EV เนื่องจากการผลิตในประเทศยังมีข้อจำกัด

รัฐบาลอินโดนีเซียได้กำหนดนโยบาย TKDN (Tingkat Komponen Dalam Negeri) เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV และอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญในประเทศ โดยเป็นการกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศของการผลิตรถยนต์ EV (% TKDN) โดยปัจจุบันรถยนต์ EV ที่ผลิตในประเทศและมีสัดส่วน TKDN 40% ขึ้นไป จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยรัฐบาลอินโดนีเซียได้กำหนดแผนยกระดับสัดส่วน TKDN สำหรับชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ EV ให้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 50% ภายในปี 2029 และไม่ต่ำกว่า 60% ตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป

ปลายน้ำ (Downstream): อุตสาหกรรมการประกอบรถยนต์ EV
อุตสาหกรรมการประกอบรถยนต์ EV ของอินโดนีเซียเติบโตสูงในช่วงปี 2022-2024 สะท้อนจากปริมาณการผลิตรถยนต์นั่ง EV ที่เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 42% (CAGR) โดยจนถึงปัจจุบันอินโดนีเซียมีปริมาณการผลิตรถยนต์นั่ง EV สะสมอยู่ที่ราว 56,000 คัน อีกทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการเข้ามาสร้างฐานการผลิตรถยนต์ EV ในอินโดนีเซียของบริษัทต่างชาติ ซึ่งทยอยเริ่มสายการผลิตหรือประกาศลงทุนในช่วงปี 2022–2026 ด้วยกำลังการผลิตรวมไม่ต่ำกว่า 5 แสนคัน/ปี

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการประกอบรถยนต์ EV ยังมีช่องว่างอีกมากสำหรับการเร่งการผลิตเชิงพาณิชย์ และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อเข้ามาเสริมระบบนิเวศของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ข้อมูลจาก EVWire ระบุว่า ในปี 2024 อินโดนีเซียมียอดขายรถยนต์ EV อยู่ที่ราว 4 หมื่นคัน หากเทียบกับปริมาณการผลิตในปีเดียวกันสะท้อนว่าปัจจุบันรถยนต์ EV กว่าครึ่งที่ขายในอินโดนีเซียมาจากการนำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้ง หากพิจารณาจากระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริง ณ ปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพที่มีและต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้มาก

ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลกำหนดสัดส่วน TKDN สำหรับการประกอบรถยนต์ EV อยู่ที่ 30% ในปี 2029 และปรับลดลงเหลือ 20% ในปี 2030 ขณะที่กำหนดสัดส่วน TKDN ของการผลิตชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ EV ในระดับที่สูงกว่า สะท้อนให้เห็นทิศทางของนโยบายว่ารัฐบาลอินโดนีเซียต้องการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในต้นน้ำและกลางน้ำของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนสำคัญภายในประเทศ แทนที่จะพึ่งพาเพียงการนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบ เพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์ EV ของอินโดนีเซียเติบโตอย่างเข้มแข็งในระยะยาว

วิเคราะห์จุดแข็งและโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ EV ไปยังอินโดนีเซีย

ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของโลก และยังเป็นฐานการผลิตอิเล็ก-ทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ โดยในบรรดาชิ้นส่วนรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยส่งออกนั้น บางส่วนยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ EV5 ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ยางรถยนต์ ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ และวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงระบบขับเคลื่อนและแปลงพลังงาน เช่น เครื่องแปลงไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้ารวมทั้งชิ้นส่วน โดยในปี 2024 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเหล่านี้กว่า 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 11% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทย

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2021-ปัจจุบัน มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของไทยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) สะสมอยู่ที่ 135 โครงการ คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ราว 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมทั้งการลงทุนทั้งในด้านการผลิตรถยนต์ EV และชิ้นส่วน รวมทั้งชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะช่วยเสริมศักยภาพให้ไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรม EV ได้อย่างครบวงจรมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ในประเทศรวมถึงตลาดส่งออก

Krungthai COMPASS ประเมินโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ EV ไปยังอินโดนีเซีย จากการที่อินโดนีเซียยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้ โดยพิจารณาสินค้าในกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ที่สามารถใช้กับรถยนต์ EV ซึ่งไทยมีการส่งออกในระดับสูงอยู่แล้ว และสินค้าในกลุ่มระบบจัดเก็บพลังงานอย่างแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ EV จาก 2 ปัจจัยคือ 1) ความต้องการนำเข้าสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ EV ของอินโดนีเซีย ซึ่งสะท้อนจากอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าในช่วงปี 2021-2024 (CAGR) และ 2) ช่องว่างส่วนแบ่งตลาดของไทย สะท้อนจากส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยต่อการนำเข้าทั้งหมดของอินโดนีเซียที่ยังต่ำกว่า 8% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยส่วนแบ่งของสินค้าไทยในตลาดนำเข้าของอินโดนีเซียของกลุ่มสินค้าที่พิจารณาทั้งหมด ช่วงปี 2021-2024
5 บางกลุ่มสินค้าสามารถใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม

ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสในการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ EV ไปยังอินโดนีเซียในหลายกลุ่มสินค้า แบ่งเป็น

1) กลุ่มสินค้าที่ยังมีช่องว่างส่วนแบ่งตลาดและไทยมีศักยภาพในการส่งออก ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องแปลงไฟฟ้า โดยเป็นสินค้าที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในการนำเข้าของอินโดนีเซียเฉลี่ยเพียง 5% และ 1% ตามลำดับ (ปี 2021-2024) โดยในปี 2024 อินโดนีเซียมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าไทยทั้ง 2 กลุ่มนี้อยู่ที่ 39.4 และ 5.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ซึ่งไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้ส่งออกสินค้าทั้ง 2 ชนิดนี้ สะท้อนจากการที่ไทยมีค่าความได้เปรียบเชิงสัมพัทธ์ (Relative Comparative Advantage: RCA) มากกว่า 16 เนื่องจาก ไทยมีฐานการผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวของแบรนด์ชั้นนำของโลก เช่น Siemens Schneider และ onsemi เป็นต้

2) กลุ่มสินค้าที่ยังมีช่องว่างส่วนแบ่งตลาด แต่ไทยยังต้องเร่งยกระดับศักยภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ส่งออกประเทศอื่น ได้แก่ วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟฟ้า และแบตเตอรี่ Lithium-ion โดยวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในการนำเข้าของอินโดนีเซียเฉลี่ยเพียง 2% 2% และ 1% ตามลำดับ (ปี 2021-2024) โดยในปี 2024 อินโดนีเซียมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าไทยทั้ง 3 กลุ่มนี้อยู่ที่ 49.8, 2 และ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ นอกจากนี้ ไทยแทบจะไม่มีการส่งออกแบตเตอรี่ Lithium-ion ไปยังอินโดนีเซีย ซึ่งไทยควรเร่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดของสินค้าเหล่านี้จากผู้ส่งออกประเทศอื่น เนื่องจากปัจจุบันไทยยังมีค่า RCA ต่ำกว่า 16

อย่างไรก็ตาม สำหรับแบตเตอรี่ Lithium-ion ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยเพิ่งเริ่มต้นพัฒนาและกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุน ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถการผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการภายในประเทศและต่อยอดสู่ตลาดส่งออกในอนาคต โดยเฉพาะแบตเตอรี่ Lithium-ion ชนิด LFP (Lithium Iron Phosphate) ที่เป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในรถยนต์ EV อีกทั้ง LFP ยังเป็นเทคโนโลยีคนละแบบกับแบตเตอรี่ประเภท NMC ที่รัฐบาลอินโดนีเซียมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ

ในปี 2024 สินค้าทั้ง 2 กลุ่มของไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสินค้านำเข้าของอินโดนีเซียประมาณ 2% คิดเป็นมูลค่า 98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการประเมินเบื้องต้นหากไทยสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้เป็น 8% ซึ่งเท่ากันกับค่าเฉลี่ยส่วนแบ่งของสินค้าไทยในตลาดนำเข้าของอินโดนีเซียของกลุ่มสินค้าที่พิจารณาทั้งหมด จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยในสินค้า 2 กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็น 490.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยี การยกระดับมาตรฐานสินค้า และการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในสินค้าที่มีโอกาส ไทยควรให้ความสำคัญกับการรักษาส่วนแบ่งตลาดในสินค้าที่มีการส่งออกไปยังอินโดนีเซียในระดับสูงอยู่แล้ว เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ยางรถยนต์ และแผงวงจรไฟฟ้า ซึ่งอินโดนีเซียมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2021-2024 โดยเฉพาะการนำเข้าจากประเทศจีนที่พบว่ามีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าในระดับสูง และสินค้านำเข้าจากจีนเหล่านี้ก็มีส่วนแบ่งในตลาดนำเข้าของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ไทยเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสินค้ากลุ่มเดียวกันนี้ ทั้งนี้ มาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจผลักดันให้สินค้าจีนไหลเข้าสู่อินโดนีเซียมากขึ้น ซึ่งอาจซ้ำเติมการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยในระยะถัดไป

ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งชิ้นส่วนรถยนต์เป็นสินค้าที่มีโอกาสได้รับความเสี่ยงโดยตรงจาก Sectoral Tariff จากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง7 แม้จะมีสินค้าหลายรายการของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกยกเว้นการเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ8 แต่ก็เป็นการยกเว้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรมองหาตลาดส่งออกทางเลือกที่มีศักยภาพเติบโต เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดหลัก ซึ่งอินโดนีเซียนับเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในสินค้าชิ้นส่วนรถยนต์ EV และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังมีความต้องการนำเข้าและไทยยังมีโอกาสในการขยายตลาดในหลายกลุ่มสินค้า

Recommendation
ภาครัฐควรมีบทบาทหลักในการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทย เช่น
1) ส่งเสริมการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) รวมทั้งจัดโครงการพัฒนาทักษะแรงงาน ในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไทยมีช่องว่างส่วนแบ่งตลาดแต่ยังแข่งขันได้จำกัด รวมทั้งกลุ่ม Smart Auto Parts ซึ่งเป็นชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะที่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ EV และเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ ระบบเซนเซอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบควบคุมอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เป็นต้น เพื่อผลักดันผู้ประกอบการไทยสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลกในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนอัจฉริยะที่แข่งขันได้ ซึ่งการพัฒนาสินค้าเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนด้าน R&D อย่างต่อเนื่องและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิศวกรรมและดิจิทัล

2) สนับสนุนการลงทุนในเครื่องจักรและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยอาจพิจารณาสิทธิประโยชน์ ทางภาษี ควบคู่กับการกำหนดเงื่อนไขพิเศษเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนควบคู่ไปกับการยกระดับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศ รวมถึงสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยอาศัยความร่วมมือกับสถาบันการเงิน

3) สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ ในแง่ของการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ทันสมัยและถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือทางการค้าและข้อตกลงทางภาษีที่จะเป็นแต้มต่อให้กับผู้ส่งออกไทย ทั้งกับอินโดนีเซีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทย

ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ควรเร่งยกระดับมาตรฐานและประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าให้สามารถแข่งขันกับผู้ส่งออกรายอื่นได้ โดยควรเน้นการลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย นอกจากนี้ อาจมีการรวมกลุ่มกันในผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและมองหาโอกาสเข้าไปมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานของอินโดนีเซีย โดยในระยะยาวอาจมองหาโอกาสในการร่วมทุนหรือการตั้งฐานการผลิตในอินโดนีเซีย เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อข้อกำหนดสัดส่วน TKDN ที่จะเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ที่ไทยมีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรติดตามข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนและบริหารความเสี่ยงท่ามกลางการค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนระดับสูง