สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด จับมือ ซีเอ็ดยูเคชั่น เซ็น MOU ร่วมกันยกระดับคุณภาพการประเมินภาษาอังกฤษของประเทศไทยสู่สากล เปิดตัวชุดทดสอบภาษาอังกฤษ Oxford Test of English (OTE) ปรับวิทยฐานะครูผู้สอน โดยศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center: HCEC) และการใช้ผลการทดสอบในระบบการสอบ TCAS สำหรับการวัดผลนักเรียนระดับมัธยมปลาย เพื่อเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายเจโรล ไช ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University Press: OUP) ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวถึงอนาคตของการเรียนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ว่า “ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และการเชื่อมโยงระดับโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ภาษาอังกฤษนับเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักที่เชื่อมโยงผู้คนทุกวงการจากประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน ดังนั้น การเรียนการสอนภาษาอังกฤษจึงมิได้จำกัดเฉพาะไวยากรณ์ หรือคำศัพท์อีกต่อไป แต่ต้องครอบคลุมถึง “ทักษะการใช้ภาษาเพื่อสื่อสาร” อย่างมีประสิทธิภาพในบริบทที่หลากหลาย และต้องเป็นการเรียนรู้เพื่อการใช้งานอย่างมั่นใจ เข้าใจ และนำไปสู่การสร้างคุณค่าใหม่ให้กับตนเองและสังคมในระดับที่กว้างไกลกว่าที่เคย”
“เนื่องจาก สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด (OUP) มีพันธกิจมุ่งสนับสนุนเป้าหมายของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เพื่อสร้างความเป็นเลิศทางด้านการวิจัย งานวิชาการและการศึกษาผ่านการจัดพิมพ์ระดับสากล ผนวกกับความเชื่อที่มีต่อการศึกษาว่าจะเป็นพลังที่สร้างโอกาสและเข้าถึงได้แบบไร้ข้อจำกัดใดๆ ซึ่งพันธกิจนี้ทำให้เราได้ร่วมมือกับกระทรวงต่างๆ ตลอดจนบรรดาสถาบันศึกษาทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัยและนักการศึกษา เพื่อให้การสนับสนุนและฝึกอบรมคณาจารย์ ร่วมกันทำการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรต่างๆ อย่างมากมาย
ในครั้งนี้ ต้องถือเป็นอีกก้าวที่ OUP ภาคภูมิใจกับการเปิดตัว Oxford Test of English (OTE) ซึ่ง OUP ได้ออกแบบให้เป็นชุดทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษทั้ง “ฟัง พูด อ่าน เขียน” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ เพื่อนำมาใช้ประเมินทักษะภาษาอังกฤษของผู้เรียนได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด สอดคล้องกับกรอบ CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางในการวัดทักษะทางภาษาที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ Oxford Test of English ได้รับการออกแบบให้สะท้อนสถานการณ์การใช้ภาษาในชีวิตจริง และใช้ระบบการสอบแบบปรับตามความสามารถของผู้สอบ (Adaptive Testing) เพื่อแจกจ่ายชุดคำถามตามระดับความสามารถของผู้รับการทดสอบโดยอัตโนมัติส่งผลให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดในการสอบ
ที่สำคัญ Oxford Test of English ใช้เวลาทดสอบประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น นับว่าสั้นกว่าแบบทดสอบภาษาอังกฤษอื่น ๆ หลายชุด และมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับแบบทดสอบสากลอื่นๆ อีกทั้งสามารถใช้ผลสอบได้ทั้งในการศึกษาต่อ การสมัครงาน หรือการประเมินผลทางวิชาการในระดับต่าง ๆ อีกด้วย” นายเจโรล กล่าว

ขณะที่ ดร.ณัฐริน เจริญเกียรติบวร ผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานการพัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ กล่าวถึงการยกระดับคุณภาพการประเมินภาษาอังกฤษของประเทศไทยว่า
“การเปิดตัวชุดทดสอบ Oxford Test of English โดย สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด (OUP) ในประเทศไทยถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะช่วยยกระดับระบบการศึกษาของประเทศไทยไปสู่ความเป็นสากล และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนในประเทศไทยได้เข้าถึงเครื่องมือการประเมินผลภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพ เที่ยงตรง และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
นอกจากนี้ ยังจะมีส่วนสนับสนุนการใช้ Oxford Test of English ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการอบรมครู การวิจัยเชิงนโยบาย และการเชื่อมโยงผลการประเมินกับการวางแผนพัฒนาการเรียนการสอนในภาพรวม เพื่อให้การประเมินนี้ไม่ใช่เพียง “ปลายทาง” ของกระบวนการเรียนรู้ แต่กลายเป็น “ต้นทาง” ของการพัฒนาศักยภาพที่แท้จริงทั้งของครูและนักเรียนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเอื้อต่อการปรับวิทยฐานะครูผู้สอน โดยศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center: HCEC)
ขณะเดียวกัน Oxford Test of English ยังสามารถใช้เป็น “เครื่องมือทางวิชาการสำหรับครู” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผลสอบที่แสดงระดับความสามารถของผู้เรียนตามกรอบ CEFR จะช่วยให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม โดยไม่ต้องพึ่งพาวิธีการสอนแบบ “ชุดเดียวใช้กับทุกคน” ที่มักเป็นข้อจำกัดในระบบเดิม และการใช้ผลการทดสอบในระบบการสอบ TCAS สำหรับการวัดผลนักเรียนระดับมัธยมปลาย เพื่อเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านการฟังและการพูด ซึ่งเป็นทักษะที่มักถูกมองข้ามในการสอบแบบเดิม โดยการประเมินในรูปแบบที่สอดคล้องกับบริบทจริง จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถมองเห็นจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา”

ทางด้าน รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และผู้จัดการระบบ TCAS สภาอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (CUPT) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการออกแบบกระบวนการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า
“การยกระดับการประเมินผลภาษาอังกฤษด้วยชุดทดสอบที่ได้รับการพัฒนาโดยองค์กรวิชาการระดับโลกอย่าง Oxford University Press (OUP) นับเป็นโอกาสที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชุดทดสอบอย่าง Oxford Test of English ซึ่งได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานสากลอย่าง CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) ซึ่งเป็นกรอบอ้างอิงความสามารถทางภาษาของสหภาพยุโรปที่มหาวิทยาลัยทั่วโลกต่างยอมรับ
ทั้งนี้ การนำผลสอบภาษาอังกฤษที่มีมาตรฐานสากลมาใช้ประกอบในระบบ TCAS จึงย่อมจะช่วยสร้างความเท่าเทียม และความโปร่งใสให้กับผู้สมัครทุกคน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติหรือสาขาที่มีความจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถใช้ผลคะแนน Oxford Test of English เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณารับเข้าศึกษาในรูปแบบที่ยืดหยุ่นและมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
รศ.ดร.ชาลี กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในระยะยาว หากเราสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อบูรณาการผลสอบภาษาอังกฤษจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น OUP เข้ากับระบบ TCAS ได้อย่างเหมาะสมก็นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพการคัดเลือก และช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนในประเทศไทยมีแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา”
นอกจากนี้ เพื่อการมุ่งยกระดับคุณภาพการประเมินภาษาอังกฤษของประเทศไทยสู่สากล สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด และ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ได้ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) รวมทั้งได้มีพิธีลงนามจากสถานศึกษา และองค์กรที่ตอบรับการเป็นศูนย์สอบของ Oxford Test of English อีกด้วย

ทั้งนี้ นายรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงการลงนามใน MOU ร่วมกับ สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ครั้งนี้ว่า “ซีเอ็ดยูเคชั่นมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้และการประเมินภาษาอังกฤษของประเทศไทย ด้วยการแนะนำและขับเคลื่อนชุดการประเมินของ Oxford Test of English ในวงการศึกษาของไทย จากความเชื่อมั่นใน 3 คุณลักษณะที่สำคัญของ Oxford Test of English คือ 1.) มาตรฐานระดับโลกจาก OUP ซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูงสุดทั้งในด้านภาษาและการศึกษา 2.) รูปแบบการสอบที่ยืดหยุ่น ทันสมัย เป็นมิตรกับผู้สอบโดยเฉพาะระบบออนไลน์ที่สามารถวัดผลด้าน “ฟัง พูด อ่าน เขียน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.) เหมาะสมกับบริบทการศึกษาไทยที่ต้องการเครื่องมือวัดระดับภาษาอังกฤษที่มีความแม่นยำ เชื่อถือได้ และสามารถนำไปต่อยอดได้ในระดับมหาวิทยาลัย หรือในเวทีอาชีพระดับนานาชาติ โดยเป็นแบบทดสอบนี้ได้รับการออกแบบโดยอิงกับกรอบ CEFR”
ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีของซีเอ็ด ในฐานะผู้นำด้านการจัดจำหน่ายหนังสือและสื่อการเรียนรู้ พร้อมเครือข่ายร้านหนังสือทั่วประเทศกว่า 100 สาขา รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงผู้เรียนและครูในทุกภูมิภาค ซึ่งจะเอื้อให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการขยายผลการใช้ Oxford Test of English อย่างกว้างขวางและเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันกวดวิชา อีกทั้งยังมีศูนย์ฝึกอบรมที่สามารถรองรับการจัดอบรมครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาในการทำความเข้าใจแนวทางการใช้แบบทดสอบดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนอกจากความสามารถในการจัดจำหน่ายแล้ว ซีเอ็ด ยังมีศักยภาพด้านการพัฒนาเนื้อหาและสื่อประกอบการเรียนรู้ที่ทันสมัย ซึ่งสามารถสนับสนุนให้ Oxford Test of English มิได้เป็นเพียงการสอบ หากแต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมผู้เรียนให้เติบโตไปพร้อมกับการประเมินผลอย่างมีคุณภาพ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมาตรฐานการศึกษาระดับโลกกับผู้เรียนในประเทศไทย และพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ สถานศึกษา และองค์กรวิชาชีพ เพื่อร่วมกันยกระดับศักยภาพทางภาษาอังกฤษของคนไทยในทุกมิติ”
แบบทดสอบ Oxford Test of English (OTE)
แบบทดสอบ Oxford Test of English (OTE) เป็นแบบทดสอบที่ได้รับการออกแบบโดย สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด (Oxford University Press: OUP) เพื่อให้เป็นชุดทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษที่พัฒนาทั้ง 4 ทักษะ ได้แก่ การฟัง การอ่าน การพูด และการเขียน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์และการวัดผลภาษา เพื่อให้สามารถประเมินทักษะภาษาอังกฤษของผู้เรียนได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ แบบทดสอบแต่ละส่วนได้รับการออกแบบให้สะท้อนสถานการณ์การใช้ภาษาในชีวิตจริง พร้อมทั้งใช้ระบบการสอบแบบปรับตามความสามารถของผู้สอบ (Adaptive Testing) ที่ช่วยให้แต่ละคนได้รับชุดคำถามตามระดับความสามารถของตนเองโดยอัตโนมัติส่งผลให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดในการสอบและใช้เวลาทดสอบประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น นับว่าสั้นกว่าแบบทดสอบภาษาอังกฤษอื่น ๆ หลายชุดที่มักใช้เวลานานกว่า
นอกจากนี้ Oxford Test of English ยังสอดคล้องกับแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารจริง ไม่ใช่เพียงเพื่อสอบแข่งขันหรือท่องจำเชิงไวยากรณ์ การที่ผลการสอบของ Oxford Test of English เชื่อมโยงกับกรอบ CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางในการวัดทักษะทางภาษาที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ CEFR แบ่งระดับความสามารถออกเป็น 4 ระดับตั้งแต่ A2 ซึ่งเป็นระดับเริ่มต้น ไปจนถึง C1 โดยระดับ B1 และ B2 มักเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ในการศึกษาต่อหรือสมัครงานในหลายประเทศ เนื่องจากการอิงกับ CEFR ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและประเมินความสามารถทางภาษาของตนเองได้อย่างชัดเจน รวมถึงช่วยให้สถาบันการศึกษาและนายจ้างสามารถเปรียบเทียบทักษะของผู้เรียนหรือผู้สมัครได้อย่างเท่าเทียมกันในระดับสากล ด้วยเหตุนี้ CEFR จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่มีแนวโน้มในการนำกรอบอ้างอิงนี้มาใช้มากขึ้นในการประเมินผลและวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
บริบทการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของประเทศไทย
แม้จะมีความพยายามในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางปฏิบัติประเทศไทยยังคงมีจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่อง “การนำภาษาไปใช้ในสถานการณ์จริง” และผู้เรียนในประเทศไทยจำนวนมากสามารถทำข้อสอบได้ดีในระดับทฤษฎี แต่กลับขาดความมั่นใจเมื่อจำเป็นต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ทั้งในการพูด การฟัง และการโต้ตอบกับเจ้าของภาษาหรือผู้ใช้ภาษาอังกฤษจากประเทศอื่น
นอกจากนี้ ยังพบว่า สิ่งที่ประเทศไทยยังขาดอยู่ในระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ คือ
- การฝึกฝนทักษะการสื่อสารเชิงรุก (Active Communication) เช่น การโต้แย้งอย่างมีเหตุผล การนำเสนอแนวคิด และการตั้งคำถามอย่างสร้างสรรค์ ฯลฯ ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้รับการส่งเสริมอย่างเข้มข้นในระบบการศึกษาของหลายประเทศ แต่ยังไม่ปรากฏอย่างเด่นชัดในห้องเรียนภาษาอังกฤษของไทย
- การบูรณาการภาษาอังกฤษกับทักษะในศตวรรษที่ 21 อื่นๆ เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีมข้ามวัฒนธรรม และความสามารถในการปรับตัว ซึ่งทักษะเหล่านี้จำเป็นต้องถูกฝึกฝนผ่านกิจกรรมหรือโครงงานที่ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ใช่เพียงเพื่อการสอบผ่านในระดับใดระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ภาษาอังกฤษกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงองค์ความรู้และโอกาสระดับนานาชาติ เป็นไปได้ว่า ในอนาคต เทรนด์การทดสอบภาษาอังกฤษในประเทศไทยจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ
- การทดสอบจะมุ่งเน้นการประเมินแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทักษะฟัง พูด อ่าน และเขียน มากกว่าการวัดผลด้วยข้อสอบแบบเลือกตอบเพียงอย่างเดียว
- การทดสอบจะสะท้อนบริบทการใช้ภาษาที่แท้จริง โดยเน้นการสื่อสาร การแก้ปัญหา และการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตและการทำงานในโลกยุคใหม่
- เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทอย่างเด่นชัดในกระบวนการสอบ โดยเฉพาะการใช้ระบบการสอบแบบปรับตามระดับความสามารถของผู้สอบ (adaptive testing) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยตรวจคำตอบทั้งในส่วนการเขียนและการพูด ตลอดจนการจัดสอบผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นและความสะดวกให้กับผู้เรียนทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน หน่วยงานด้านการศึกษาของไทยก็เริ่มปรับแนวทางการวัดผลให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานสากลอย่าง CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) ซึ่งช่วยให้ผลสอบสามารถนำไปใช้อ้างอิงในระดับนานาชาติได้
- แบบทดสอบภาษาอังกฤษจะเปลี่ยนจากการเป็นเครื่องมือคัดกรองไปสู่การเป็นเครื่องมือพัฒนาศักยภาพ ผู้เรียน ครู และโรงเรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับที่สามารถนำไปใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเหมาะสมมากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนในการพัฒนารูปแบบการสอบที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และเป็นธรรมต่อผู้สอบทุกกลุ่ม