อิมแพ็ค เมืองทองธานี ประกาศปักธงผู้นำธุรกิจไมซ์เอเชีย รุกหนักทุกกลุ่มธุรกิจ เจาะตลาดอินเดีย จีน ปูทางสู่อาณาจักรอีเวนต์บันเทิง ตั้งเป้า 5 ปีโกย 9,000 ล้านบาท

อิมแพ็ค เมืองทองธานี ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ปักธงขึ้นสู่ผู้นำธุรกิจไมซ์เอเชีย ประกาศรุก เจาะตลาดอินเดีย จีน ผนึกพาร์ทเนอร์ ไลฟ์เนชั่น ตั้งบริษัทใหม่ขยายอาณาจักรสู่สถานที่จัดอีเวนต์บันเทิงระดับโลก หวังดันรายได้ปี 2573 ทะยานสู่ 9,000 ล้านบาท

นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี กล่าวว่า

ปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของผู้จัดงานทั่วโลก ด้วยศักยภาพที่โดดเด่นในหลายมิติ ทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ ผ่านความคิดสร้างสรรค์ สะท้อนจากรายงาน Globe Watch Business Analytics – Country & City Rankings ประจำปี 2567 ของ สมาคมการประชุมนานาชาติ (ICCA) จัดอันดับจากการเก็บข้อมูลจากจำนวนงานประชุมนานาชาติที่เลือกเมืองและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นสถานที่จัดงาน โดยระบุว่า ปี 2567 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นลำดับที่ 25 ของโลกจากจำนวนประเทศที่ได้รับการจัดอันดับทั้งหมด 160 ประเทศ

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังครองอันดับที่ 5 ในภูมิภาคเอเชีย และอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยจำนวนงานประชุมนานาชาติที่จัดขึ้นมากที่สุด แสดงให้เห็นศักยภาพอันโดดเด่นของทั้งประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในฐานะศูนย์กลางการจัดงานประชุมระดับนานาชาติ ขณะที่การจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทยก็เพิ่มขึ้น โดยแต่ละปีประเทศไทยมีคอนเสิร์ตทั้งระดับ นานาชาติและในประเทศประมาณ 250-300 งาน ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากไม่เพียงเเต่สร้างเม็ดเงินจากการจ้างงานในอุตสาหกรรมอีเวนต์ ทว่า ยังมีเม็ดเงินที่เกิดการใช้จ่ายจากการเดินทาง ที่พัก และอาหารในพื้นที่จัดงานรวมถึงพื้นที่โดยรอบเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วย

แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมไมซ์จะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แต่ต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายทุกมิติ โดยเฉพาะความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศเอง ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่าย และการตัดสินใจของผู้จัดงานและนักเดินทางไมซ์ รวมถึงนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯที่ยังต้องจับตามอง และปัญหาเศรษฐกิจจีน นโยบายสนับสนุนให้ท่องเที่ยวภายในประเทศของจีน ส่งผลให้จำนวนนักเดินทางไมซ์ เเละนักท่องเที่ยวจีนชะลอการเดินทางลงตั้งแต่ต้นปี 2568 ล้วนกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทว่าภาคธุรกิจไทย รวมถึงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไมซ์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ต่างเตรียมความพร้อมรับมือให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในฐานะศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอันดับ 1 ของไทยและภูมิภาคอาเซียน ต้องปรับตัวเองให้สอดรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเช่นกัน ล่าสุดได้ประกาศวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่ โดย อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านธุรกิจไมซ์ (MICE) ของเอเชีย และเป็นจุดหมายปลายทางในการจัดงานประชุม ธุรกิจ และความบันเทิงที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก

ทิศทางนับจากนี้ เราจะเดินหน้าขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ และขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท ควบคู่กับการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางไมซ์ที่สำคัญในภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันโครงสร้างรายได้หลักของบริษัทมาจาก 4 ส่วน ได้แก่

  • ธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่จัดงาน
  • ธุรกิจรับจ้างจัดงานครบวงจร
  • ธุรกิจโรงแรม
  • ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม


เริ่มด้วย

1.ธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่จัดงาน ถือเป็นสัดส่วนรายได้หลัก โดยตลาดต่างประเทศ โฟกัสที่การขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มประเทศใหม่ ๆ เช่น อินเดีย จีน ประเทศแถบตะวันออกกลาง จากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความต้องการในการจัดกิจกรรมที่ขยายตัวขึ้น โดยได้ตั้งทีม Business Development เจาะตลาดจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างรายได้ใหม่และขยายจำนวนการจัดงานให้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ได้นำเสนอพื้นที่การจัดอีเวนต์บันเทิงใหม่ นอกเหนือจาก 2 อาคารหลักในปัจจุบัน คือ อิมแพ็ค อารีน่า และ ธันเดอร์โดม ที่ติด TOP 5 ของสถานที่จัดงานในประเทศไทยที่ผู้จัดทั่วโลกเลือกใช้บริการ ด้วยความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน การเดินทางสะดวกสบาย เเละรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายที่เชื่อมต่อกับอาคารโดยตรง ยังมีอาคารอื่น ๆ ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ทั้งอาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ที่มีพื้นที่ถึง 6 หมื่นตร.ม. โดดเด่นด้วยอาคารที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ปราศจากเสากั้น รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 4.5 -5 หมื่นคน กลายเป็นอาคารจัดอีเวนต์บันเทิงในร่มขนาดใหญ่ หรือ อาคาร 5-12 สามารถจัดอีเวนต์บันเทิงในร่มได้เช่นกันแบ่งย่อยได้ถึง 8 อาคาร ปรับเลือกการใช้งานได้ตามความเหมาะสม รองรับผู้ร่วมงานเฉลี่ย 3,500-4,500 คน/อาคาร โดยมีแผนพัฒนาห้องแต่งตัวบริเวณอาคาร 5-6 ใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตของจำนวนอีเวนต์ด้านความบันเทิงในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งริมทะเลสาบเมืองทองธานีกว่า 1.5 แสนตร.ม. เหมาะสำหรับการจัดเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่พร้อมวิวทะเลสาบเปิดโล่ง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

2.ธุรกิจรับจ้างงานครบวงจรและให้เช่าอุปกรณ์จัดงาน ที่ผ่านมาบริษัทมีการสร้างสรรค์งานของตัวเองเพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มงานแสดงสินค้า งานเจรจาธุรกิจ รวมถึงอีเวนต์เชิงไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างความหลากหลายของจำนวนงานที่จัดขึ้นในพื้นที่ ทั้งการเปิดตัวแพ็กเกจ “IMPACT NEXT” ที่เปิดกว้างสำหรับผู้จัดงานหน้าใหม่ หรือผู้ที่มีไอเดียสร้างสรรค์อีเวนต์แนวใหม่เข้ามาจัดงานเมื่อต้นปี 2568 ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีเช่นกัน มีกลุ่มลูกค้าและจำนวนงานใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้สร้างอีเวนต์แนวใหม่เทศกาลยานยนต์สุดยิ่งใหญ่ “IMPACT Speed Fest 2025” ริมทะเลสาบเมืองทองธานี ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกและได้ผลตอบรับที่ดี โดยตั้งเป้าหมายว่า จะสร้างให้เป็น Destination of Thailand Car Culture ในอนาคต

สำหรับภาพรวมครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ยอดจัดงานรวมอยู่ที่ 341 งาน แบ่งเป็น ประชุม สัมมนา 167 งาน อินเซนทีฟ 16 งาน ประชุมขนาดใหญ่ (Convention) 5 งาน คอนเสิร์ตไทย คอนเสิร์ตต่างประเทศ 41 งาน เอ็กซิบิชั่นระดับนานาชาติ 33 งาน งานแต่งงาน 58 งาน และงานเลี้ยงสังสรรค์ 21 งาน

ขณะที่จำนวนการจองพื้นที่ช่วงครึ่งปีหลัง (กรกฎาคม-ธันวาคม 2568) มียอดจองกว่า 300 งาน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีไฮไลต์สำคัญ ๆ เช่น

  • SUMMER SONIC BANGKOK 2025 (23-24 ส.ค.68)
  • BIG BAD WOLF BOOKS (7-17 ส.ค.68)
  • ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยพระบารมี (9-17 ส.ค.68)
  • Tyler, The Creator – CHROMAKOPIA :THE WORLD TOUR (16 ก.ย.68)
  • งานแสดงสินค้าสวนสนุกและแหล่งท่องเที่ยวประเทศไทย (15-17 ต.ค.68)
  • MARIAH CAREY The Celebration of Mimi (11 ต.ค.68)
  • ลอย ริม เลค (1-5 พ.ย.68) มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42
  • (29 พ.ย.-10 ธ.ค.68) เทศกาล EDM ระดับโลก Creamfields Asia 2025 (13-14 ธ.ค.68)

3. ธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันมีโรงแรมให้บริการ 2 แห่ง คือ โนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค และไอบิส กรุงเทพ อิมแพ็ค รวม 1,000 ห้อง ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากอัตราการเข้าพัก (Occupancy) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีแผนจะสร้างโรงแรมในพื้นที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพิ่มขึ้น โดยภายในปี 2571 คาดว่าจะเพิ่ม 3,000 ห้อง และเพิ่ม 5,000 ห้องตามลำดับภายใน 5 ปีจากนี้

4. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ปัจจุบันมี 18 แบรนด์ในเครือ รวมทั้งสิ้น 29 สาขา ได้แก่ บิสโตร เดอ แชมเปญ, ฟลาน โอเบรียนส์ ไอริช ผับ, เฮยยิน, ฮ่องกง คาเฟ่, ฮ่องกง ฟิชเชอร์แมน, ฮ่องกง สุกี้, อิมแพ็ค ฟาร์ม, อิมแพ็ค เลคฟร้อนท์, อีสาน แอ็ท อารีน่า, เรโทร บาร์ แอนด์ คาเฟ่, เทอราซซ่า, ทองหล่อ, ซิกส์ ซีโร่ การาจ แอนด์ โรสเตอร์, อีส คาเฟ่, เดอะ คอฟฟี่ อะคาเดมิคส์ ไทยแลนด์, นิปปอน โยโคโจว, ไทโชเต, สึโบฮาจิ (ร้านที่เปิดให้บริการภายในศูนย์ฯ 20 สาขาและนอกพื้นที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี 9 สาขา) ซึ่งครึ่งปีหลังนี้มีแผนจะขยายสาขานอกพื้นที่และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

นายพอลล์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งการประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ การขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น การขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ อย่างการร่วมทุนกับไลฟ์เนชั่น โดยให้เช่าอาคารและที่ดินอิมแพ็ค อารีน่า ระยะเวลา 20 ปี คิดเป็นมูลค่ารวมตามสัญญากว่า 4,617 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของอิมแพ็คในฐานะจุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงระดับโลกได้เป็นอย่างดี รวมถึงส่งผลให้ในปี 2568มีรายได้เติบโตกว่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2573 จะมีรายได้แตะ 9,000 ล้านบาท