DHOUSE เผยทิศทางธุรกิจปี 2568 เติบโตดี เดินหน้ารับรู้รายได้ต่อเนื่อง จากอานิสงส์ความต้องการอสังหาฯเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหว เตรียมเปิดอสังหาฯเพื่อจำหน่ายและให้เช่ารวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 259.92 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ UPark Home มูลค่า 179.43 ล้านบาท, โครงการ UPark Market มูลค่า 32.49 ล้านบาท และ โครงการ UPark Residence มูลค่า 48 ล้านบาท รุกตลาดกลุ่มลูกค้าระดับกลาง และ กลุ่มนักศึกษา พร้อมพัฒนาศักยภาพการบริหารต้นทุน เพิ่มความสามารถในการทำกำไร รักษาวงจรเงินสดในระดับดี คาดรายได้ปีนี้เติบโต 25.44%
นายอรรถ เลิศรุ้งพร กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจการตลาดและการขาย บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคาม ประเภทที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์เพื่อขายหลากหลายรูปแบบ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และ อาคารพาณิชย์ เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่อยู่อาศัย และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในจังหวัดมหาสารคาม และ พื้นที่ใกล้เคียงที่เพิ่มสูงขึ้น จากกลุ่มลูกค้าระดับกลาง ไปจนถึงกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการที่พักอาศัยใกล้สถานศึกษา อีกทั้งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังเป็นหนึ่งในเขตที่มีความปลอดภัยด้านภัยพิบัติ ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา สะท้อนถึงศักยภาพของภูมิภาคในฐานะทำเลที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนระยะยาว ส่งผลให้บริษัทสามารถเดินหน้ารับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 จะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 25.44%

สำหรับปี 2568 บริษัทมีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตในฐานะผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริง ทั้งด้านราคา ฟังก์ชัน และ คุณภาพงานก่อสร้าง โดยมีแผนการเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 259.92 ล้านบาท ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ UPark Home มูลค่า 179.43 ล้านบาท และ อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ UPark Market มูลค่า 32.49 ล้านบาท และ โครงการ UPark Residence มูลค่า 48 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/2568
อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นการทำตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลาย อาทิ กลุ่มระดับกลางที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในจังหวัดมหาสารคาม และ กลุ่มนักศึกษาที่มีความต้องการที่พักอาศัยใกล้มหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) โครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินการ มูลค่ารวม 18.65 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567)
ขณะเดียวกัน ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน “ปตท. ยูพาร์ค ขามเรียง” และ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน ยังคงสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องจากการเปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีปัจจัยความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงเทศกาล ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทสัดส่วนรายได้จากการดำเนินงาน โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน จำนวน 56.74%, รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 41.03% และ รายได้อื่น จำนวน 2.23%
ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้ารับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพในด้านการบริหารจัดการต้นทุนที่ถือว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของบริษัท โดยมุ่งเน้นการวางแผนลงทุนในที่ดิน และ ควบคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนรวมของโครงการได้อย่างมีนัยสำคัญ และ มีอัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถรักษาวงจรเงินสดให้อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง
“แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะยังมีความผันผวนจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงสามารถเดินหน้าสร้างยอดขาย และรายได้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาศักยภาพ วางแผนในการบริหารต้นทุน และ ปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ ทั้งในแง่การวางแผนเปิดตัวโครงการที่สอดคล้องกับกำลังซื้อ และ การเลือกทำเลที่มีดีมานด์จริงจากกลุ่มผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งถือเป็นตลาดหลักของเรา
พร้อมกันนี้บริษัทยังเตรียมแผนรองรับการขยายตลาดไปยังจังหวัดใกล้เคียงในอนาคต ด้วยจุดแข็งของบริษัท คือการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายที่ดี ดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการกระจายความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ที่รับเทรนด์ความต้องการของประชาชนในจังหวัด อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีความมั่นคงและปลอดภัยทางกายภาพ โดยเฉพาะด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญของพื้นที่ เช่น จังหวัดมหาสารคามที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ยิ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระดับภูมิภาค จากปัจจัยทั้งหมดทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขาย และ รายได้ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน” นายอรรถ กล่าว