บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ให้การสนับสนุนและเข้าร่วมงาน Sustainability Expo 2023 (SX2023) เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของบริษัทในการรีไซเคิล PET และการประยุกต์ใช้โซลูชั่นที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ โดยการเดินทางสู่ความยั่งยืนของอินโดรามา เวนเจอร์ส จัดแสดงขึ้นระหว่างวันที่ 2-8 ตุลาคม ที่บูธ D9 โซน Better Living ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
ภายใต้คอนเซ็ปท์ “The Future of Recycling” หรือ อนาคตของการรีไซเคิล อินโดรามา เวนเจอร์ส จัดแสดงนิทรรศการที่ไฮไลท์โซลูชั่นด้านความยั่งยืนใหม่ล่าสุด ที่พร้อมจะปฏิวัติวงการรีไซเคิล PET นับเป็นการประกาศถึงอนาคตที่ผลิตภัณฑ์หมุนเวียนจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่
ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ได้แก่ การลงทุนในการรีไซเคิลขั้นสูง วัตถุดิบตั้งต้นจากชีวภาพ และการร่วมมือกับสตาร์ทอัพด้านความยั่งยืนหลากหลายแห่ง เช่น นวัตกรรมการรีไซเคิลด้วยเอนไซม์ ร่วมกับบริษัท Carbios การนำเสนอเทคโนโลยีไบโอทรานส์ฟอร์เมชั่น ร่วมกับบริษัท Polymateria และการบุกเบิกเทคโนโลยีผลิต bio-PTA และ bio-PET ร่วมกับบริษัท Origin Materials เป็นต้น
นิทรรศการของบริษัทฯ ยังแสดงให้เห็นถึงความอเนกประสงค์และอรรถประโยชน์ในการใช้งานหมุนเวียนของ PET ในฐานะวัสดุสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ตลอดจนความคิดริเริ่มด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร เพื่อส่งเสริมการให้ความรู้ด้านการรีไซเคิลเพื่อเข้าถึงชุมชนในวงกว้าง
นายแอนโทนี วาตานาเบ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “อินโดรามา เวนเจอร์ส เป็นผู้นำด้านการรีไซเคิล PET มาโดยตลอด โดยเราเพิ่งเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งสำคัญในการรีไซเคิลขวด PET ภายหลังการใช้งานแล้ว จำนวน 1 แสนล้านขวด บัดนี้ เรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการรีไซเคิลของเรา และเตรียมความพร้อมองค์กรสำหรับอนาคตผ่านการแสวงหาและปรับใช้เทคโนโลยีและวัสดุที่ล้ำหน้าและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การลงทุนเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถบรรลุมาตรฐานความยั่งยืนที่สูงขึ้น และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเติมเต็มเป้าหมายของอินโดรามา เวนเจอร์ส ในการร่วมกันยกระดับเคมีภัณฑ์เพื่อโลกที่ดีกว่า”
นอกเหนือจากการจัดบูธนิทรรศการแล้ว อินโดรามา เวนเจอร์ส ยังเข้าร่วมในการเสวนาบนเวทีงาน Sustainability Expo 2023 ในหัวข้อ “Business Leadership in Sustainability“ หรือ ความเป็นผู้นำธุรกิจด้านความยั่งยืน และยังร่วมจัดเวิร์คช้อปให้ความรู้เรื่องการรีไซเคิลใน SX Kids Zone อีกด้วย
ทั้งนี้ นายแอนโทนีกล่าวต่อไปว่า “อินโดรามา เวนเจอร์ส ยังคงมุ่งมั่นในการลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพืิ่อขยายธุรกิจรีไซเคิล และสนับสนุนอัตราการรีไซเคิลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ได้ขยายโรงงานรีไซเคิลอีกหลายแห่ง รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและโครงการให้ความรู้แก่สาธารณชน โดยพลาสติก PET ที่ใช้สำหรับผลิตขวดน้ำดื่มและขวดน้ำอัดลม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด และถูกเก็บรวบรวมนำไปรีไซเคิลได้จริงและในปริมาณมาก
ด้วยเหตุนี้ PET จึงเป็นพลาสติกที่ถูกนำมารีไซเคิลมากที่สุดในโลก และความสำเร็จในการรีไซเคิลของบริษัทฯ ก็สนับสนุนสิ่งเหล่านี้ โดยมุ่งเสาะหาเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานการรีไซเคิลทั่วโลกให้มากขึ้น และลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตลอดวงจรชีวิตของวัสดุ เพื่อตอกย้ำจุดยืนของบริษัทฯ ในฐานะผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลสำหรับใช้ผลิตขวดเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในโลก
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานรีไซเคิล 20 แห่งในภูมิภาคเอเชีย อเมริกา และยุโรป ซึ่งการพัฒนาล่าสุด ได้แก่ การเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานรีไซเคิลในประเทศบราซิลเป็นสองเท่า และการเปิดโรงงาน PETValue เพื่อรีไซเคิลขวดเครื่องดื่มใช้งานแล้วนำไปผลิตเป็นขวดใหม่ (bottle-to-bottle recycling) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฟิลิปปินส์ โดยความร่วมมือกับ Coca-Cola โดยทั้งสองโครงการเป็นส่วนหนึ่งของ ‘สินเชื่อสีน้ำเงิน’ มูลค่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่อินโดรามา เวนเจอร์ส ได้รับในปี 2563 จากบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation หรือ IFC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย โดยเงินกู้ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรีไซเคิล และลดปริมาณขยะพลาสติกจากการฝังกลบและเล็ดลอดสู่มหาสมุทรในประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย และบราซิล ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องการการสนับสนุนในการจัดการขยะสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ อินโดรามา เวนเจอร์ส ยังได้ร่วมมือกับมูลนิธิยูนุส ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรชั้นนำที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้เครือข่ายระดับโลก โดยมีเป้าหมายในการให้ความรู้แก่ผู้บริโภค 1 ล้านคนทั่วโลกเกี่ยวกับการรีไซเคิลภายในปี 2573″