บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หรือ ILM ส่งผ่านสิ่งแวดล้อมที่ดีและสังคมที่ยั่งยืน เดินหน้าขับเคลื่อน “Green Logistics” การขนส่งและกระจายสินค้าด้วยพลังงานสะอาดจากรถไฟฟ้า 100% ประเดิมเส้นทางสายตะวันออก-สายเหนือ-สายอีสาน ชี้ลดต้นทุนได้ไม่ต่ำกว่า 5 MB/ปี สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 878,590 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2eq) เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 106,000 ต้น เตรียมเพิ่มสัดส่วนรถ EV อย่างต่อเนื่อง ให้ครอบคลุมทุกเส้นทางสาขาของบริษัทฯ ในประเทศไทยภายในปี 2567 ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ตามแนวคิด ‘Sustainable Living for Future Lifestyle’
กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บมจ. อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ภายในบ้าน และของตกแต่งบ้าน เปิดเผยว่า “กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการบริหารงานที่ดีอย่างยั่งยืนในทุกมิติ จากแนวคิด ‘Sustainable Living for Future Lifestyle’ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อมที่ดี ตามหลักธรรมา ภิบาล โดยตระหนักถึงความคาดหวังและผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าในการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างรอบด้าน และหนึ่งในพันธกิจที่เราตั้งใจจะร่วมพัฒนา คือมิติด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่กำลังวิกฤต ทั้งการเผชิญกับมลพิษทางอากาศฝุ่นควัน อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น กลุ่มบริษัทฯ มองโอกาสและความเป็นไปได้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น
ล่าสุด อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ได้พัฒนาระบบการขนส่งและกระจายสินค้า โดยขับเคลื่อน “Green Logistics” พลังงานสะอาดจากรถไฟฟ้า 100% (Electric Vehicles: EVs ) พร้อมทั้ง Optimize กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ และของตกแต่งบ้าน เพื่อให้การจัดส่งที่คุ้มค่ามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยนำสินค้าต้นทางจากคลังสินค้า (DC บางบอน) เพื่อการกระจายสินค้าส่วนภูมิภาคในหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งสิ้น 7 คัน ด้วยรูปแบบ EV Truck (6 ล้อพ่วง ขนาด 14 W) บรรทุกน้ำหนักได้ 15 ตัน และ รถ EV (6 ล้อขนาด 6 W ) บรรทุกน้ำหนักได้ 5 ตัน พร้อมกับติดตั้ง EV Charger ที่คลังสินค้า (DC บางบอน) รวม 2 ชุด ขนาด 150 kWh ซึ่งเริ่มขนส่ง Q4/2566 เฟตแรกเริ่มวิ่งเส้นทางสายตะวันออก-สายเหนือ-สายอีสาน พื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ พิษณุโลก นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่ รวม ILM 5สาขา (ขนส่งต่างจังหวัด 1-2 เที่ยว/สาขา/วัน) และเตรียมขยายเส้นทางการเดินรถต่อเนื่อง โดยจะศึกษาความพร้อมด้านต่างๆ และเส้นทางที่มีศักยภาพ เช่น นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ระยอง สุรินทร์
ทั้งนี้ เพื่อดำเนินงานตามแผนระยะยาว “Energy Saving & Efficiency in Retail Stores” การประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจค้าปลีก เพื่อลดใช้พลังงานเชื้อเพลิง เซฟคอร์สทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและการซ่อมบำรุง อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและเสียง รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญ (จากข้อมูลขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) พบว่า ในปี 2019 ภาคขนส่งมีการปล่อยก๊าซ CO2 สูงเป็นอันดับ 3 รองจากภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรม เมื่อคิดเฉพาะการขนส่งสินค้าทางถนน จะมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 ถึงราว 30% ของภาคขนส่ง )
การเปลี่ยนผ่านการขนส่งและการกระจายสินค้าด้วยรถ EV นี้ นอกจากจะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์แล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตทางธุรกิจสู่เป้าหมายควบคู่กับบริบทการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นพื้นฐานของความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตที่ดี โดยรถบรรทุกไฟฟ้าทั้ง 7 คันที่ดำเนินการในเฟตแรก (5 จังหวัด) คาดจะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้ราว 5 MB / ปีเทียบกับอัตราการเดินรถระหว่างเครื่องยนต์สันดาปกับรถEV และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 878,590 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2 eq) (*จำนวน CO2 อ้างอิงจำนวนการขนส่ง) หรือเมื่อเทียบกับยานยนต์ประเภทไฟฟ้าจำนวน 7 คันจะเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.06 แสนต้น
ทั้งนี้ ในอนาคตบริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรถบรรทุกไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อครอบคลุมทุกเส้นทางสาขาอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในประเทศไทยภายในปี 2567 โดยต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆ ด้านทั้งความคุ้มค่า และการพัฒนาสถานีชาร์จให้มีความเหมาะสมทั้งด้านจำนวนสถานี พื้นที่ครอบคลุม รวมถึงกำลังในการจ่ายและปริมาณสำรองไฟฟ้าอีกด้วย “กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาด้านความยั่งยืนอย่างรอบด้าน ซึ่งบริษัทฯ มีไอเดียสร้างคอมมูนิตี้ในโครงการ INDEX GOES GREEN’s ให้ทุกคนในองค์กร ( HQ ILM ) ทั้งเจ้าหน้าที่ พนักงาน รวมถึงผู้บริหาร ตระหนักรู้ในการรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมกับมีส่วนร่วมสร้างโลกสีเขียว ด้วยการประหยัดพลังงานและทรัพยากร (Energy Savings) จากเรื่องง่ายใกล้ตัว ช่วยกันปิดไฟในเวลาพักเที่ยง, การคัดแยกประเภทขยะต่างๆ, ส่งเสริมให้บันไดแทนลิฟท์สำหรับการเดินขึ้น-ลงเพียงไม่กี่ชั้น, ลด ละ (เลิก) ใช้บรรจุภัณฑ์อาหารและของใช้ประจำวันที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น กล่องโฟม แก้ว-ถุง-ขวดน้ำ-หลอดพลาสติก และหันมาใช้ภาชนะที่ล้างทำความสะอาดได้ นอกจากนี้ยังผสานความร่วมมือไปสู่คู่ค้าทางธุรกิจ และลูกค้าต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน” กฤษชนก กล่าว