KBank Private Banking เผยความสำเร็จกองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาดที่ลงทุนในเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่กำลังมาแรงระดับโลก ภายใต้แบรนด์ HOMA ผ่านกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไพรเวท อิควิตี้ ฟันด์ 1 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ที่ได้ร่วมกับ UOBAM และ HOMA หลังเสนอขายครั้งแรกสามารถระดมทุนถึงเป้าหมายด้วยยอดกว่า 1,200 ล้านบาท ภายใน 1 สัปดาห์
ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดทุนกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้ราคาสินทรัพย์ในตลาดแทบทุกประเภทต้องเผชิญกับความผันผวน นักลงทุนจึงต้องการทางเลือกการลงทุนที่จะมอบผลตอบแทนสม่ำเสมอนอกเหนือจากการลงทุนในตลาด KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนมีหน้าที่จะต้องเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับนักลงทุน พร้อมแนะนำให้นักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ที่ไม่ว่าตลาดจะผันผวนอย่างไร ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับ ล่าสุด KBank Private Banking ได้จับมือกับ UOBAM แนะนำกองทุนรวมที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด โดยลงทุนในโครงการ HOMA ที่อยู่อาศัยให้เช่าแห่งแรกๆ ในประเทศไทยที่มาพร้อมแนวคิด “การอยู่อาศัยและทำกิจกรรมร่วมกัน” เพื่อตอบรับรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ หากมองในระยะยาว จากแนวโน้มพฤติกรรมของคนในปัจจุบันที่นิยมเช่าที่พักอาศัยมากขึ้น และไม่ซื้อบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง เนื่องจากมีราคาแพง ประกอบกับเมื่อเทียบกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้า ที่ได้รับผลกระทบหลังการแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงเชื่อว่ากองทุนนี้ว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่า นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงให้ความสนใจที่จะร่วมลงทุน ในโครงการ HOMA ผ่านการลงทุนใน UPREQ1-UI เป็นอย่างมาก โดยหลังจากกองทุนเสนอขายได้เพียง 1 สัปดาห์ ก็สามารถระดมเงินลงทุนได้ถึง 1,200 ล้านบาท
ด้าน มร. เบลค โอลาฟสัน ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ HOMA กล่าวว่า HOMA มาพร้อมแนวคิดในการสร้างคอมมิวนิตี้ระหว่างผู้อยู่อาศัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครอบ คลุมครบทุกด้าน ทั้งในเรื่องของศูนย์บริการฟิตเนส สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และ โค เวิร์คกิ้ง สเปซ กลุ่มเป้าหมายของ HOMA คือ Young Professional, Digital Nomad รวมถึงครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นเด็กเล็กๆ ในวัยก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีรูปแบบการอยู่อาศัยที่ไดนามิกต้องการมีเพื่อนและกิจกรรมทำร่วมกับผู้ที่อยู่อาศัยในอาคารเดียวกัน โดยสามารถเข้าพักที่ HOMA ได้ตั้งแต่ 1 วัน – 1 ปี นอกจากนี้ HOMA ยังให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน โดยทุกโครงการภายใต้แบรนด์ HOMA ได้รับการรับรอง LEED หรือ EDGE (โปรแกรมการรับรองอาคารสีเขียว) ทำให้คาดว่า HOMA น่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน นอกจากนี้ HOMA ยังเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจาก BOI จึงเป็นบริษัทต่างชาติที่สามารถซื้อและครอบครองที่ดินในไทยได้แบบ 100% โดยไม่ต้องมีคนไทยร่วมครอบครอง และยังสามารถขายกิจการให้กับนักลงทุนทั้งต่างชาติและคนไทยได้ ถือเป็นการขยายวงของนักลงทุนที่สนใจเข้าซื้อกิจการของ HOMA ด้วยศักยภาพพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนหลัก เราเชื่อว่า HOMA จะสามารถมี Exit Strategies ได้ ตามอายุโครงการ
ดร.ตรีพล กล่าวปิดท้ายว่า “ผลตอบแทนจากการร่วมเป็นเจ้าของโครงการ HOMA ผ่านการลงทุนใน UPREQ1-UI ได้มาจาก 1) ความสามารถในการมีรายได้จากค่าเช่าอย่างสม่ำเสมอและราคาค่าเช่าห้องที่เพิ่มขึ้น ทุกปี เป็นส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้กับโครงการ 2) ราคาที่ดิน และ สิ่งปลูกสร้างที่มาพร้อมการบริหารจัดการทำให้โครงการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เพราะเป็นเจ้าของที่ดินและอาคารทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้นช่วยสนับสนุนโครงการ HOMA มีมูลค่าที่สูงขึ้นและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ โดยผู้ที่สนใจลงทุนและซื้อกิจการของโครงการ HOMA สามารถแยกซื้อ 1 โครงการ หรือสามารถซื้อทุกๆ โครงการได้ ทั้งนี้ ทางผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าวิธีไหนจะสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้สูงที่สุด KBank Private Banking เชื่อว่าการลงทุนในกองทุนนี้จะสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ที่เฉลี่ย 14-15% ต่อปี โดยการลงทุนนี้จะมีการล็อคเงินลงทุนที่ 7 ปี”
นอกเหนือจากกองทุน UPREQ1-UI ในครึ่งหลังปี 2566 KBank Private Banking ยังมีแผนในการแนะนำสินทรัพย์นอกตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนต่อไปที่จะแนะนำ คือ กองทุนหุ้นนอกตลาดที่เน้นลงทุนในบริษัทที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งกิจการ (Venture Capital) ที่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วไป ซึ่งอาจมีความเสี่ยงมากกว่า อย่างไรก็ดี กองทุนจะบริหารความเสี่ยงผ่านการกระจายการลงทุนในหลายร้อยบริษัทในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบ เช่น Consumer Tech, Health Tech, Enterprise Tech, Climate Tech เป็นต้น รวมถึงกระจายการลงทุนในหลายภูมิภาค ได้แก่ สหรัฐฯ 40% ยุโรป 40% และภูมิภาคอื่นๆ ของโลกอีก 20% ซึ่งจะเป็นกองทุนที่ร่วมมือกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจที่มีประสบการณ์ลงทุนใน Private Market มาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์การบริหารกองทุน Venture Capital ทั่วโลกมานานกว่า 11 ปี มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีเครือข่ายผู้จัดการกองทุนที่ Lombard Odier สามารถเข้าถึงมากกว่า 130 แห่ง ซึ่งครอบคลุมกลยุทธ์การลงทุนกว่า 200 กองทุน และกว่า 4,000 ธุรกิจ โดยมีแผนที่จะแนะนำในเดือนกรกฏาคมนี้