ดีเอชแอล เล็งเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของการขนส่งทางถนนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รายงานล่าสุดของดีเอชแอล ระบุ: การกลับมาของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนส่งผลให้เกิดความต้องการด้านบริการโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น หลังการค้าระหว่างภูมิภาคฟื้นตัวอีกครั้ง

     การขนส่งทางถนนจะเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินตามมาตรการใหม่ด้านการค้าระหว่างภูมิภาค การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความนิยมในตลาดอีคอมเมิร์ซ และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโลจิสติกส์โซลูชันในภูมิภาค

A row of yellow trucks on a road

Description automatically generated with low confidence

18 สิงหาคม, กรงุเทพฯ, ประเทศไทย – ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง (DHL Global Forwarding) บริษัทผู้นำด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ในเครือของกลุ่มบริษัท ดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล กรุ๊ป (DPDHL Group) เล็งเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนของการขนส่งทางถนนข้ามพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดการณ์ว่าภาคอีคอมเมิร์ซจะเติบโตที่ 5.5% ภายในปี 2564 จากแรงหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ ผ่านการฟื้นตัวทางภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการกระจายตัวของซัพพลายเชนของบริษัทในภูมิภาค ตามแนวโน้มที่ได้ระบุไว้ในรายงานหัวข้อ “การขนส่งสินค้าในเอเชีย: เส้นทางสู่การเติบโต” ที่เปิดเผยล่าสุดวันนี้

A person in a suit

Description automatically generated with low confidence

นาย เคลวิน เหลียง ซีอีโอ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เอเชียแปซิฟิก

“ความร่วมมือทางการค้าภายในเอเชียจะเติบโตอย่างแน่นแฟ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หลังจากมีการผ่อนคลายลงของข้อจำกัดทางการค้าและมีการดำเนินตามมาตรการใหม่สำหรับการค้าระหว่างภูมิภาค เช่น ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน (ACTS) และ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศกลุ่มอาเซียน ที่พร้อมจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากผ่านการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นี้ไปได้” นาย เคลวิน เหลียง ซีอีโอ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เอเชียแปซิฟิก กล่าว

ทั้งนี้ หนึ่งในการพัฒนาหลักทางการค้าระหว่างภูมิภาค ได้แก่ ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน หรือ the ASEAN Customs Transit System (ACTS) ที่เริ่มขึ้นในปี 2020 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการขนส่งและเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามพรมแดนอาเซียนได้อย่างราบรื่น ผ่านมาตรฐานและการรับประกันที่ครอบคลุมทั้งอากรขาเข้าขาออกและภาษีตลอดการดำเนินงาน

การขนส่งทางถนน: โลจิสติกส์โซลูชันที่น่าจูงใจที่กำลังเติบโตอย่างยั่งยืน

เศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกที่คาดการณ์ว่าจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางการค้าในปี 2564 ส่งผลให้ตลาดการขนส่งสินค้าทางถนนของอาเซียน สามารถมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้นกว่า 8% ภายในปี 2563-2568 นอกจากนี้ การใช้จ่ายผ่านรูปแบบอีคอมเมิร์ซของผู้บริโภค และธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบ B2B ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 70% ภายในปี 2570 ยังมีส่วนเข้ามาเสริมความต้องการของโซลูชันการขนส่งสินค้าแบบถึงที่หมาย (door-to-door logistics solutions) ต่อไปในอนาคตอีกด้วย

A person sitting in front of a map

Description automatically generated with medium confidence

นาย โทมัส ทีเบอร์ ซีอีโอ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“การขนส่งทางถนนกำลังมีบทบาทที่สำคัญมากยิ่งขึ้นในการแก้ปัญหาการขนส่งระยะไกลระหว่างประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและยั่งยืน ตามที่เราได้เห็นในปีที่แล้ว อัตราค่าขนส่งทางอากาศและทางทะเลมีการผันผวนอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยโซลูชันการขนส่งทางถนน หรือการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้นำเสนอราคาที่ยั่งยืนยิ่งกว่า ควบคู่กับความสามารถในการขนส่ง และการเข้าถึงชายแดนที่ง่ายยิ่งขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นาย โทมัส ทีเบอร์ ซีอีโอ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

การขนส่งทางถนนมีราคาถูกและปล่อยมลพิษน้อยกว่าการขนส่งทางอากาศมาก ในขณะเดียวกันยังเพิ่มความปลอดภัย และลดระยะเวลาการขนส่งที่เมื่อเทียบกับการขนส่งทางทะเล ทั้งนี้ โซลูชันการขนส่งทางถนนยังเป็นทางเลือกที่มีความคล่องตัวสูง เพราะรถบรรทุกสามารถทำการขนส่งสินค้าแบบถึงที่หมาย ข้ามพรมแดน ครอบคลุมทั้งในระยะทางทั้งใกล้และไกล

ปัจจุบัน ลูกค้าเลือกใช้การขนส่งทางถนนเพิ่มมากขึ้นสำหรับการขนส่งสินค้าบางส่วนหรือทั้งหมดทั้งระยะใกล้และไกล เพราะการขนส่งทางถนนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าการขนส่งทางอากาศ ทั้งนี้ การขนส่งทางถนนที่ต่อเนื่องสนับสนุนการขนส่งทางอากาศ (air-road shipment) จากจาการ์ตาไปยังกรุงเทพฯ ผ่านสิงคโปร์ สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงครึ่งหนึ่ง พร้อมการประหยัดต้นทุน 35% เมื่อเทียบกับเที่ยวบินตรงผ่านการขนส่งทางอากาศเพียงอย่างเดียว ในขณะที่การขนส่งสินค้าทางถนนจากสิงคโปร์ไปยังจีนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 83% เมื่อเทียบกับการขนส่งสินค้าทางอากาศ
 
“การขนส่งทางถนน กำลังมุ่งหน้าสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี เพื่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนที่มากขึ้น ผ่านการใช้เชื้อเพลิงที่ประหยัดพลังงานคาร์บอน โดยปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันจะผลักดันการเปลี่ยนแปลงในภาคการขนส่งสินค้าทางถนน และสร้างโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่จูงใจและยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต”