ปตท. เผยผลประกอบการ Q2/64 กำไร 24,578 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104%

ปตท.เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 กำไรสุทธิอยู่ที่ 24,578.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104% จากช่วงเดียวกันของปี 63 หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.86 บาท ได้อานิสงส์กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 64 กำไรสุทธิ 57,166.27 ล้านบาท

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 24,578.66 ล้านบาท หรือ 0.86 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 104% จากช่วงเดียวกันปี 63 ที่มีกำไรสุทธิ 12,053.29 ล้านบาท หรือ 0.42 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ เนื่องจาก ปตท.และบริษัทย่อยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 58,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100% มาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมากตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบทั้งสายโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงธุรกิจการกลั่นที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นประมาณ 7,000 ล้านบาท

หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 63 แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น หรือ Market GRM ทรงตัวที่ 1.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการกลั่นรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน หรือ Accounting GRM ปรับเพิ่มขึ้นจากขาดทุน 1.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2/63 เป็นกำไร 4.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2/64

สำหรับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากโครงการโอมาน แปลง 61 จากการเข้าซื้อธุรกิจตามกล่าวข้างต้น และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยหลักจากราคาขายเฉลี่ยที่อ้างอิงราคาปิโตรเคมีและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และจากปริมาณขายก๊าซฯ และราคาขายลูกค้าอุตสาหกรรมที่อ้างอิงราคาน้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ

ขณะเดียวกันธุรกิจน้ำมันมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนของการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก 64 ปตท.มีกำไรสุทธิ 57,166.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 63 ที่มีกำไรสุทธิ 10,498.93 ล้านบาท เป็นผลจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้น และมีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำตามสัดส่วนของ ปตท.โดยหลักจากการรับรู้กำไรจากการซื้อธุรกิจในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของโครงการโอมาน แปลง 61 ประมาณ 7,000 ล้านบาท

สุทธิกับการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่เกิดจากการสำรวจและประเมินค่าบางส่วนของโครงการสำรวจปิโตรเลียมในประเทศบราซิล ประมาณ 2,900 ล้านบาทของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในการร่วมค้าของ บบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ประมาณ 1,500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ปตท.คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันของโลก ในไตรมาส 3/64 จะเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปอยู่ที่ระดับ 99 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป สำหรับราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3/64 คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 72.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/64 ที่ระดับ 66.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

โดยปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์น้ำมันโลกที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับอุปทานของกลุ่ม OPEC+ ที่จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 63-68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์ คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.0-2.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล