ไฮเออร์ ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก และเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 11 ปีซ้อน รายงานผลประกอบการของปี 2563 รายได้โต 31% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พร้อมเปิดเกมรุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าสมาร์ทโฮมในปี 2564 อย่างเต็มรูปแบบ อาทิ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า ชูกลยุทธ์แคมเปญใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Smart Home Solution Provider, World’s Leading Ecosystem Brand” เพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าวิถีใหม่ รวมถึงชูจุดเด่นด้านนวัตกรรม Family Care ที่จะมาช่วยดูแลสุขภาพของทุกคนในครอบครัว ตั้งเป้ายอดขายรวมปี 2564 ที่ 8,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 %
มร. จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ในปี 2563 ไฮเออร์ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ไฮเออร์สามารถปิดปีได้อย่างสวยงามเกินคาดกับรายได้รวมทุกหมวดผลิตภัณฑ์กว่า 6,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน 2,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% ตู้เย็น 1,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% เครื่องซักผ้า 866 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% ตู้แช่ 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ 256 ล้านบาท โตขึ้น 1% สมาร์ททีวี 190 ล้านบาท โตขึ้น 110% เครื่องทำน้ำอุ่น 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35 % เครื่องใช้ในครัว 103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 296% ทั้งนี้เป็นยอดขายจากออนไลน์ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% จากปีที่แล้วและได้เตรียมรุกตลาดในปี 2564 อย่างแข็งแกร่ง พร้อมตั้งเป้ายอดขายเติบโตอีก 37% คิดเป็นยอดขายรวม 8,445 ล้านบาท”
ไฮเออร์ยังได้เผยแนวทางการตลาดภายใต้สโลแกน “Inspired Living การใช้ชีวิตของคุณคือแรงบันดาลใจของเรา” โดยได้ศึกษาวิถีการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภค นำมาพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภค ซึ่งในปัจจุบันนี้เทรนด์การดูแลสุขภาพเข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในยุค New Normal ไฮเออร์จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเพิ่มจุดเด่นในเรื่อง Family Care หรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลสุขภาพของทุกคนในบ้าน
สินค้าใหม่ในปี 2021 ของไฮเออร์
สำหรับปีหน้าไฮเออร์ก็จะยังคงเน้นสินค้าประเภท IoT Smart Home ที่สามารถควบคุมและเชื่อมต่อผ่านมือถือ รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมในด้านสุขภาพและความสะดวกสบาย เช่น เทคโนโลยี Self-Cleaning ในผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องซักผ้าและเครื่องปรับอากาศ ที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ เพิ่มประสิทธิภาพและสุขอนามัยในการใช้งาน
· เครื่องปรับอากาศไอเออร์ Smart Cool รุ่น HSU-10VNR03T(W) ที่มีระบบ Smart Control สามารถเชื่อมต่อ Wifi และควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมทั้งระบบ Self- cleaning ที่ทำให้เครื่องปรับอากาศสามารถล้างตัวเองได้ภายใน 20 นาที และ ฟังก์ชัน Turbo Cool ที่ช่วยเร่งความเย็นให้เย็นเร็วมากขึ้นถึง 47% นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Nano Purify Filter & Nano Carbon Filter ที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรียและกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
· ตู้เย็นไฮเออร์ รุ่น HRF-MD758 ตู้เย็น IoT ที่ครบครันด้วยระบบ Food Management ที่สามารถช่วยจัดการเรื่องสต็อกอาหาร จดและบันทึกรายการสินค้าภายในตู้เย็น พร้อมด้วยหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ ที่สามารถสั่งสินค้าจาก Tops Online จากหน้าจอทัชสกรีน และสามารถสั่งการได้ด้วยเสียง หรือ ผ่านแอพพลิเคชั่น Smart app by Haier เพิ่มลูกเล่นด้วยฟังก์ชั่น Entertainment อย่าง Youtube, Facebook ที่จะทำให้การทำอาหารไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ด้วยคอนเซ็ปต์ Internet of things
· เครื่องซักผ้าไฮเออร์ Smart & Healthy Function ในปีหน้าไฮเออร์จะมุ่งเน้นเครื่องซักผ้า ที่มีฟังก์ชั่นเพื่อสุขภาพ I-Refresh ที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค, แบคทีเรีย 99.9% และยังช่วยลดรอยยับ และกลิ่นอับอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถควบคุมการทำงานผ่าน Smart Phone เพื่อความสะดวกสบาย และตอบโจทย์ชีวิตในยุคดิจิตอลอีกด้วย โดยเครื่องซักผ้าไฮเออร์ซีรี่ย์ Smart & Healthy จะมีทั้งหมด 4 รุ่น คือ HWD160-B1551U1, HWC150-B1601U1, HWD120-B14876U1 และ HWD100-B14876U1
· สมาร์ททีวีไฮเออร์ รุ่นLE65S6 ที่มาพร้อมกับจอ QLED 65 นิ้ว ดีไซน์บางเฉียบ หรูหราด้วยวัสดุ metal เสริมด้วยลำโพงคุณภาพชั้นเยี่ยมระดับ Cinema sound และระบบปฏิบัติการ Android พร้อมด้วยฟังก์ชัน Chromecast Built-in ที่สามารเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้โดยไม่ต้องใช้ Wifi โดยรุ่นนี้จะเจาะกลุ่มตลาด Hi-end โดยเน้นฟังก์ชันที่ล้ำสมัยและดีไซน์เรียบหรู
และภายในสิ้นปีนี้ ทางไฮเออร์ยังได้ต่อยอดธุรกิจใหม่ เตรียมเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ที่มี่ชื่อว่า Candy ที่จะมาตีตลาดลูกค้าในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ด้วยดีไซน์ทันสมัย เรียบง่าย ในราคาที่จับต้องได้ และจะเน้นช่องทางการจัดจำหน่ายเฉพาะในช่องทาง e-commerce เท่านั้น ซึ่งสินค้าในช่วงเปิดตัว ได้แก่ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์และแคมเปญเด่นตลอดปี 2563 ต่อเนื่องปี 2564
ในปี 2563 ที่ผ่านมา ไฮเออร์ได้จัดแคมเปญ Smart Sharing AC 800 บาทต่อเดือนต่อเนื่องจากโครงการ Smart Sharing AC เย็นดีแค่ 4 บาทในปีที่แล้ว โดยครั้งนี้ไฮเออร์ได้จับมือกับบริษัท ฟอลคอน เอสซีเอ็ม จำกัด ร่วมลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศที่สนใจร่วมโครงการ Smart Sharing AC สำหรับลูกค้าที่ได้ลงทะเบียน จะได้รับบริการติดตั้งเครื่องปรับอากาศฟรี รวมถึงรับประกันตัวเครื่อง 5 ปีและคอมเพรสเซอร์อีก 10 ปี โดยจ่ายเพียงเดือนละ 800 บาท เป็นเวลา 24 เดือน เมื่อชำระครบตามกำหนดจะได้กรรมสิทธ์เป็นเจ้าของ อีกทั้งได้แนะนำเทคโนโลยี Self-Cleaning ในเครื่องปรับอากาศและเครื่องซักผ้า ที่เป็นการทำความสะอาดภายในเครื่องโดยอัตโนมัติ
สำหรับต้นปีหน้า ทางไฮเออร์ได้เตรียมจัดงานเปิดตัวตู้เย็น IoT นวัตกรรมแห่งปี HRF-MD758 ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงและผ่านแอปพลิเคชั่น Haier Smart App สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi และสั่งสินค้าจาก Tops Online โดยตรงจากหน้าจอเครื่อง ส่วนธุรกิจร้านซักผ้า Mr.Hi Smart+ by Haier ร้านซักผ้าอัจฉริยะที่ใช้งานและชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน 100% และในปีหน้า ไฮเออร์ก็ยังคงเดินหน้าขยายสาขา อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าอยู่ที่ 100 สาขาภายในปี 2565
นอกจากกิจกรรมทางการตลาดแล้ว ไฮเออร์ยังให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนที่จะเป็นพลังในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป ไฮเออร์จึงได้จัดกิจกรรม CSR ร่วมกับมูลนิธิ CCF ภายใต้ชื่อ “Haier HaiTher ไฮเออร์ ให้เธอ” เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับเด็กๆ และเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล
“กลยุทธ์การตลาดในปี 2564 เรายังคงเน้นทำการตลาดแบบครบวงจรภายใต้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท โดยจัดกิจกรรมในช่องทางออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ติ๊กต่อก ที่จะเชื่อมไปสู่กิจกรรมแบบออฟไลน์ด้วย และยังคงใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ในการสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรุกตลาดเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยการเพิ่มสาขาไฮเออร์ แบรนด์ ช็อป (Haier Brand Shop) โดยตั้งเป้าเปิดอีก 20สาขาในปี 2564 รวมเป็น 30 สาขา รวมถึงสร้างร้านค้าทางการของไฮเออร์ในช่องทาง e-commerce ต่างๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น”