ยุค TrumpNation นี่ อเมริกาเล่นบทมาเฟียโลกอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
นับแต่การตั้งกำแพงภาษีสู้กับสินค้าจีน จนจีนออกมาตำหนิสหรัฐฯ ว่าเป็นเป็นตัวการทำให้เกิดความขัดแย้งทางการค้า แถมยืนกรานว่าจะไม่ยอมถอยจากหลักการสำคัญของตนเอง เพราะที่ผ่านมาจีนยึดมั่นกับหลักการของจีนตลอดการเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ถึง 11 ครั้ง และพร้อมที่จะทำตามข้อเสนอของสหรัฐฯ หากสามารถทำให้ข้อตกลงการค้าลุล่วงได้ ทว่า อเมริกา กลับเป็นฝ่ายทำให้การเจรจาถอยหลังถึง 3 ครั้ง จากการกำหนดมาตรการภาษีชุดใหม่กับสินค้าจากจีน รวมทั้งสร้างเงื่อนไขอื่นๆ แบบได้คืบเอาศอก แถมมีท่าทีข่มขู่ผู้แทนการค้าจีนด้วย
แต่ศึกระหว่างอเมริกากับจีนถือเป็นมวยถูกคู่ เพราะเมื่ออเมริกา เดินหน้าขึ้นภาษีสินค้าจากจีนจาก 10% เป็น 25% ซึ่งกระทบกับมูลค่าสินค้านำเข้าจากจีนถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จีนก็ชกหมัดเสยเหมือนกันด้วยการขึ้นภาษีจากอเมริกา 10% เป็น 25%เหมือนกัน ซึ่งกระทบกับมูลค่าสินค้านำเข้าจากอเมริกาเพียง 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากนั้นก็ตามมาด้วยการที่อเมริกาขู่จะขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด ส่วนจีนก็ออกมาเตือนว่าจะยุติการส่งออกสินแร่หายากมายังอเมริกาหากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนยกระดับความรุนแรงขึ้น
แล้วเรื่องนี้ใช่ว่าจะกระทบแค่สินเค้านำเข้าที่ไหนกัน แต่กระทบกับธูรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำพัลวันไปหมด ขนาดที่บริษัทบางแห่งในสหรัฐฯ เริ่มชะลอการลงทุนใหม่ๆ ในจีน และย้ายฐานการผลิตชิ้นส่วนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่นๆ หรือบางรายก็พิจารณาเรื่องซัพพลายเออร์ในโซ่อุปทานของตน เพื่อรับมือกับสงครามการค้าครั้งนี้ด้วย เพียงความซับซ้อนของโลกใบนี้ไม่ใช่แค่การสกัดสินค้าที่นำเข้าจากจีนหรือผลิตจากจีนแล้วจบ แต่สินค้าที่ตีตราว่าผลิตในอเมริกาก็อาจผลิตในจีนด้วย
ฉะนั้น ตรงนี้อเมริกาอาจหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อเอาได้เหมือนกัน อย่าง Apple, Nike แบรนด์อเมริกันที่ผลิตสินค้าในจีน แล้วการขึ้นมาตรการทางภาษีที่หวังให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานกลับสหรัฐนั้นก็คงไกลจากความหวัง เพราะขณะนี้ก็มีให้เห็นแล้วว่า บริษัทต่างๆ ก็ขยับไปลงทุนในประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าแทน เช่น เวียดนาม และเม็กซิโก
แล้วก็คงยิ่งชวนให้เครียดหนักกว่าเดิมเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความว่า ความตึงเครียดทางการค้าครั้งนี้จะต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ ซึ่งผู้บริโภคอเมริกันจำเป็นต้องเลือกระหว่างสินค้าที่ผลิตในจีน กับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เรียกว่าอะไรที่ว่าบ้าแล้ว อันนี้มี “ขั้นกว่า” แน่นอน
สลับมาอีกตัวอย่างเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวที่ว่ากันว่า ยุคนี้การขอวีซ่าเข้าอเมริกาคงอาการหนักโคม่าเลย เนื่องจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกกฎให้ผู้ขอวีซ่าเข้าอเมริกาเกือบทั้งหมดต้องแสดงข้อมูลการมีบัญชีโซเชี่ยลมีเดีย ทุกบัญชีที่มีในรอบ 5 ปีและผู้ขอวีซ่าส่วนใหญ่จะต้องให้ข้อมูลอีเมลและเบอร์โทรศัพท์ ย้อนหลังไป 5 ปีด้วยเช่นกัน แล้วกฎใหม่จะมีผลต่อชาวต่างชาติเกือบ 15 ล้านคน อีกทั้งจะต้องตอบคำถามด้วยว่า มีคนในครอบครัวที่เคยเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือไม่ แล้วถามจริงๆ เถอะว่า หากเกี่ยวข้องกันจริง ใครจะบอกให้ฉลาดน้อยกันล่ะ
แต่กฎนี้ผู้ที่ได้รับการยกเว้นคือผู้ขอวีซ่าการทูตและงานราชการ
ใกล้ตัวมาอีกนิดคือ การโน้มน้าวให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ เลิกใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีของบริษัทโทรคมนาคมของจีนด้วย โดยมีตัวอย่างการสกัดดาวรุ่งที่ชัดเจนอย่าง “หัวเหว่ย” จนขณะนี้เจ้าของมือถือแบรนด์นี้ก็กังวลกันว่าจะไม่สามารถใช้ Google, Facebook, Maps ฯลฯ ที่เป็นของอเมริกันได้ แต่นี่คือการสกัดดาวรุ่งที่หยิกเล็บก็เจ็บเนื้ออีก เพราะมีผู้ใช้แอนดรอยด์ถึง 86% และแชร์ของหัวเหว่ยเมื่อดูจาก Q4/2561 ก็มีถึง16%กว่า วิ่งมาไล่ๆ กับซัมซุงและไอโฟนที่มี18%กว่าไล่ๆ กัน แต่เนื่องจากกรณีไล่บี้จากอเมริกากับหัวเหว่ยที่ยาวนานมากว่า 7 ปีก็ทำให้เราไม่แปลกใจที่จะได้ยิน Richard Yu ผู้บริหารหัวเหว่ยบอกว่า “แม้ในอนาคตเราจะถูกแบนไม่ให้ใช้แอนดรอยด์ก็ไม่เป็นไร หัวเหว่ยเตรียมและมีแผนสำรองไว้แล้ว” ซึ่งระบบปฏิบัติการที่หัวเหว่ยเพิ่งเปิดตัวไปก็คือ Hongmeng ถ้าเรียกแบบง่ายๆ มั่วๆ ก็ขอเรียกว่า “อาเม้ง” ละกัน และหัวเหว่ยก็พัฒนา “อาเม้ง” มาตั้งแต่ปี 2012 นั่นละ ระหว่างทางก่อน “อาเม้ง” เกิด หัวเหว่ยก็ลุยดะ ร่วมพัฒนากล้องร่วมกับ Leica, พัฒนาเครื่องเสียงบนอุปกรณ์ร่วมกับ Harman Kardon, ผลิตแว่นอัจฉริยะที่เพิ่งเปิดตัวร่วมกับ Gentle Monster
แน่ละ ใครจะเป็นเป้านิ่งให้คนปาหินใส่โดยไม่คิดป้องกันตนเองบ้าง หัวเหว่ยก็เช่นกัน แต่งานนี้ ไม่ใช่ ทรัมป์ หรือฝ่ายอเมริกาจะได้เปรียบ เพราะมีรายการหยิกเล็บก็เจ็บเนื้ออีก เพราะอเมริกายังต้องผจญกรรมอีกเมื่อหัวเหว่ยจะแทนที่ชิปจาก Intel ด้วยชิปที่หัวเหว่ยผลิตขึ้นเอง
ทรัมป์อาจถูกบริษัทอเมริกันด้วยกันด่าเข้าให้ว่า คิดทำ Trade War แล้วไม่คิดถึงการ Trade Off (สิ่งที่ต้องทดแทนหรือชดเชย) นั้นมันขนาดไหน อย่างอินเทลนั้นมีสัดส่วนรายได้จากจีนถึง 26.5% ที่ Google ผู้ให้บริการแอนดรอยด์มีสัดส่วนรายได้จากเอเชียแปซิฟิก 6.8 แสนล้านบาท (15% ของรายได้ทั้งหมด)
ที่ใครเคยบอก ชี้หน้าด่าใครนั้นชี้แค่นิ้วเดียว อีกสี่นิ้วนั้นด่าตัวเอง กรณีนี้คงใช้ได้กับ Trade War ที่อเมริกาคิดชี้หน้าด่าจีน แต่อีกสี่นิ้วนั้นกำลังด่าตัวเอง โดยคนร่วมชาตินั่นละ !
เผยแพร่ในนิตยสาร MarketPlus